Whiskey | LIQUEUR SERIES
- fcukingmontage
- 17 ก.ค. 2564
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 7 ก.ย. 2565
COUPLE: ฮวังมินฮยอน x ควอนฮยอนบิน HASHTAG: #ฟิคตรวจตั๋ว
มินฮยอนตั้งใจงับประตูเบาๆ
ขายาวก้าวลงบันไดโดยไม่ก้มมอง เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้กลับมาบ้านบ่อยตั้งแต่เข้าไปเรียนที่กรุงเทพ แต่ก็หักลบกับเวลาที่อยู่มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยไม่ได้อยู่ดี
มินฮยอนเดินเลี้ยวตามมุมบันไดลงมาชั้นล่าง เขาคาดหวังว่าน่าจะเห็นครัวที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบ และหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังเตรียมอาหารมากมายสำหรับต้อนรับเขาและเพื่อนที่ติดสอยห้อยตามมา แต่เขากลับเห็นแค่ฮวังมิยองที่นั่งพิงพนักเก้าอี้นิ่งๆกับครัวที่ว่างเปล่า
และบนโต๊ะมีแก้วกาแฟวางอยู่
“แม่ไม่ทำกับข้าวหรอ”
“วันนี้แม่เหนื่อย…มินเอาตังบนหลังตู้เย็นแล้วออกไปกินกับแดนข้างนอกเถอะ” หล่อนยกแก้วกาแฟขึ้นซด “ปากซอยบ้านเรามีหมูกระทะเปิดใหม่ อร่อยนะ แม่ก็ไปกินมา”
เธอแทบไม่ขยับตัวระหว่างที่พูด ตาของเธอไม่มองที่หน้าของลูกชาย แต่กลับมองออกไปที่ขอบผ้าม่านหน้าประตู
“แม่เห็นใบเกรดผมแล้วใช่มั้ย”
“อืม เห็นแล้ว”
“ผมขอโทษ”
มินฮยอนลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับมิยอง ซึ่งเป็นด้านที่เธอจะมองเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนที่สุดโดยไม่ต้องพยายามหันมองและชัดเจนพอจะเห็นว่าในแก้วกาแฟนั่นไม่ได้ถูกเติมด้วยกาแฟ…
แต่เป็นของเหลวสีอำพันต่างหาก
“คำขอโทษไม่มีประโยชน์เท่าสิ่งที่แกทำให้แม่เห็นหรอกนะ”
“ผมแค่รู้สึกเหนื่อย”
“แม่ก็ไม่อยากจะทวงบุญคุณอะไรหรอก แต่…”
“…ช่างมันเถอะ ชีวิตวัยรุ่นเมืองกรุงก็คงแบบนี้”
“แม่”
มินฮยอนเริ่มสอดนิ้วเข้าหากันแบบหลวมๆ และเขาเริ่มรู้สึกตึงเขม็งที่หน้าผากนิดหน่อย
แม่เป็นแบบนี้เสมอ ไม่รู้เป็นเพราะความคาดหวังจากอะไรกันแน่ที่เขาเองต้องถูกเข้มงวดกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต จนกลายเป็นความเคยชิน แต่ก็รู้สึกไม่ชินขึ้นมาเมื่อลองได้มองไปที่เพื่อนคนอื่นที่ไม่ได้ถูกกดดันเท่าเขา ดูอย่างแดเนียล ซองอู แจฮวานที่อยู่ใกล้ๆกันก่อนก็ได้…หรือแม้แต่ฮยอนบินเองก็เถอะ
หรือเพราะเราต่างจากคนอื่น
หรือเป็นเพราะแม่พยายามเอาชนะพ่อที่หายไปอยู่บนมุมไหนซักมุมบนโลก
“แกสูบบุหรี่บ้างหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“ลองกินเหล้าบ้างไหม”
“ไม่ครับ”
“ดีแล้วหล่ะ อย่าไปเอาอย่างพ่อแก”
เขาแอบเห็นว่าแม่หลุบตาลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงพ่อ มินฮยอนไม่มีภาพในหัวที่ชัดเจนนักสำหรับผู้ชายคนนั้น เพราะมันนานเหลือเกินที่พ่อไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในชีวิตของเขา มีแต่เพียงกลิ่นฉุนแสบจมูกที่ฝังหัวทุกครั้งในตอนที่ลงมากินนมก่อนจะเข้านอน
ชายไหล่กว้างแต่หลังออกค่อมนิดๆนั่งหันหลังให้เขา แสงไฟส่องตกลงหัวในความมืด ควันลอยฟุ้งออกจากตัวและมีกลิ่นฉุนคล้ายละมุด มินฮยอนมักจะรีบกินนมแล้วงับตู้เย็นเบาๆ แล้วรีบเดินไปในให้พ้นสภาพที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นฝันร้ายหรือเปล่า
“ผมไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ”
“แล้วแกมีแฟนรึยัง”
คำถามของแม่ทำให้เด็กหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ มิยองจิบเครื่องดื่มในแก้วกาแฟนั่นไปนิดหน่อยระหว่างรอคำตอบ
สำหรับมินฮยอน การสารภาพความจริงจนหมดเปลือกไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย ในสังคมที่แม่และเขาอาศัยอยู่ การเลือกวิถีทางเพศเป็นเรื่องต้องห้าม กระทั่งเรื่องเซ็กซ์ในคนต่างเพศยังยากที่จะพูดคุย
แต่หากการโกหก เขาก็ไม่รู้ว่าต้องสร้างเรื่องโกหกต่อความยาวออกไปอีกกี่มากน้อยขนาดไหน เพื่อปกปิดความจริงที่เขาเองไม่มีวันเปลี่ยนมันได้ ความจริงที่เขาเลือกกระทำมันลงไปด้วยตนเอง
มินฮยอนหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
“ยังหรอกครับ”
RRRRRR
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมา มินฮยอนคว้ามันออกมาดู มิยองที่นั่งอยู่มองมาแต่ก็ดูไม่ได้ใส่ใจอะไรนักหนา คนเป็นลูกชายก็ค้อมศีรษะลงเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะเดินออกออกไปรับโทรศัพท์ที่เข้ามาไม่รู้จักจังหวะในที่ที่เขามั่นใจว่าแม่จะไม่ได้ยิน
“ว่าไงครับ”
‘คืนนี้ซึลกิไม่อยู่นะ’
เป็นเสียงฮยอนบินที่ผ่านปลายสายมา ข้อความที่รู้กันแม้ไม่ไม่พูดออกมาโต้งๆ ทำให้มินฮยอนอดกลืนน้ำลายไม่ได้
“เราอยู่บ้านแม่แล้วอ่ะ มาทำรายงาน”
‘หรอ’
“เดี๋ยวโฟนแทนได้มั้ยครับ”
มินฮยอนรู้สึกกระดากนิดหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามืออีกข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์เลื่อนลงไปอยู่แถวเป้ากางเกงที่เริ่มตึงแล้ว เพราะช่วงนี้ซึลกิปิดเทอมที่มหาวิทยาลัยก็เลยมาขลุกอยู่ที่คอนโดฮยอนบินแทบจะตลอดเวลา นั่นหมายความว่าเขาก็ต้องอยู่กับนิ้วมือทั้งห้าของเขาเมื่อยามที่ลมวูบผ่าน
และมันก็เพิ่มอัตราเสี่ยงตอนที่อยู่โรงเรียนด้วย โชคดีที่ในห้องน้ำชายเย็นวันนั้น เขาเลือกจบลงแค่การแลกลิ้นและเผลอดูดต้นคอ
‘ฝ่า…ซึลกิอาจจะรู้เรื่องของเราแล้ว’
จู่ๆความรู้สึกของการไม่มีความรู้สึกก็กินไปทั่วร่างกาย มินฮยอนแสดงออกแค่การหลับตาลง เขายังเลือกข่มความรู้สึกข้างในไว้เสมอแม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนอยู่ในอีกค่อนพันกิโลเมตรก็ตาม
แต่เขาก็รู้สึกชาไปทั้งร่างแบบปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
“ได้ยังไงอ่ะ”
‘เค้าเจอผลตรวจเลือดที่เธอไม่ได้เอากลับไป มันอยู่ในซองเดียวกัน’
“เราเผลอยัดลงไปเองแหละ แล้วเขาว่าไง”
‘เขาก็แค่ถามว่าทำไมไปตรวจกับเพื่อน ไม่ไปกับเขา’
“แล้วจะเอาไงต่อ”
‘ไม่รู้’
มินฮยอนไม่ตอบอะไร ฮยอนบินที่อยู่ปลายสายก็เงียบค้างไปเหมือนกับ ความเงียบในสายเหมือนสัญญาณโดนตัด ไม่มีแม้เสียงลมหายใจให้ใครได้ยินทั้งนั้น
แต่ซักพักฮยอนบินก็กลืนน้ำลาย
‘เราควรหยุดรึยังวะ’
นั่นสิ…เธอเหนื่อยรึยังนะ
“พี่ซึลกิเป็นคนดี และเขาก็รักเธอมาก”
‘แต่เรารักเธอ’
“รู้ แต่…”
ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับความสัมพันธ์ของเขากับอีกคน ถึงจะไม่ได้พูดหรือออกตัวอะไรมากมาย แต่เขารู้ดีว่าฮยอนบินกำลังเร่งให้เขาเริ่มจริงจังกับความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆแบบนี้ ไม่รู้ว่าอีกคนจะคิดว่าเขาเป็นพวกเห็นแก่ตัวมากมายขนาดไหน แต่เขารู้สึกอย่างนั้นตลอดเวลา
เพราะซึลกิเป็นคนดีจริงๆ อย่างน้อยก็มากพอที่จะดูแลฮยอนบิน
เป็นเขาเองหรือเปล่าที่ควรจะถอยออกมา
“เราแล้วแต่เธอ ถ้าเธอเหนื่อยก็พอ เราไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว”
‘ที่เราถามเธอเพราะเราอยากให้เธอตัดสินใจ เราเลือกเองไม่ได้’
มินฮยอนขบเปลือกตาให้ปิดลงแน่น พยายามควบคุมลมหายใจให้อยู่ในอัตราปกติ
“ฮยอนบิน เข้มแข็งหน่อยสิ”
‘เธอ มันไม่เกี่ยวกัน…เรื่องทั้งหมดมันอยู่ที่ความรู้สึกของเธอ’
“งั้นเราขอเวลานะ”
‘ไม่เป็นไร เรารอเธอได้’
“ขอโทษที่ต้องให้รออีกแล้ว”
‘อื้อ’
“เธอร้องไห้หรอ”
‘เปล่าๆ แอร์มันลงหัว เลยสั่น น้ำมูกไหลด้วย’
“แน่นะ?”
‘เธอ…เราจะวางสายแล้วนะ’
“ไปเช็ดน้ำมูกซะ เดี๋ยวเราโทรกลับไป”
เป็นอีกฝ่ายที่ตัดสายไปก่อน มินฮยอนยังคงยืนขาแข็งอยู่ที่เดิม เขายืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ร่วมนาที ก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ปาดน้ำใสออกจากแก้ม แล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“แล้วบอกว่าไม่มีแฟน”
“ครับ”
มินฮยอนพยายามตอบคำถามของผู้เป็นแม่ด้วยสีหน้าพยายามสบายที่สุด
“ครับ เมื่อกี้แฟนผมเอง”
มินฮยอนหลุบตาลงมองพื้นโต๊ะด้วยก้อนความรู้สึกที่มากมายและหนักอึ้ง มันทั้งกดและทุบให้เขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นไปมองใครได้อีก
นี่อาจจะเป็นคำที่ฮยอนบินรอฟังจากเขามาตลอดหรือเปล่า ในความจริงมันฟุ้งฟูอยู่ในจิตใจของเขาทุกครั้งที่เจอหน้ากัน แต่หากมันไม่เคยถูกพูดออกมาให้ใครได้ฟัง เพราะไม่มั่นใจว่าผลกระทบของมันจะออกไปกว้างขนาดไหน ทั้งความสัมพันธ์ของคนสามคน เพื่อน ครอบครัวของเขาและอีกคน สังคมที่โรงเรียน หรืออะไรที่กว้างไปกว่านั้น
แต่ตอนนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าก็สำคัญไม่แพ้กัน
แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง มินฮยอนก็รู้สึกได้ถึงสายตาของมิยองที่มองมา มันน่าจะเป็นสายตาที่ทั้งผิดหวังและ—
“เจอกันที่เรียนพิเศษใช่มั้ยล่ะ เขาชื่ออะไร”
คำถามกลับของแม่ทำให้เขาเงยหน้ากลับขึ้นอีกครั้ง อะไรนะ ฟังผิดใช่มั้ย
“แม่ถามว่าเขาชื่ออะไร เวลามาหาจะได้เรียกถูก”
“อ่า”
“ฮยอนบินครับ ควอนฮยอนบิน”
“ชื่อเหมือนผู้ชายเลยนะ พ่อแม่ต้องใจร้ายขนาดไหนที่ตั้งชื่อลูกสาวแบบนี้”
“แม่ครับ…ฮยอนบินเป็นเพื่อนในห้องเดียวกับผมที่โรงเรียนครับ”
“…”
“เขาไม่ใช่เด็กผู้หญิง”
มิยองจ้องมาที่ลูกชาย
“จริงเหรอ”
“ครับ…ผมเป็นแฟนกับผู้ชาย”
สิ้นคำตอบ ความเงียบก็เข้ามาแทรกกลางบทสนทนาระหว่างแม่ลูก มินฮยอนไม่กล้าแม้จะยกลูกตาขึ้นมาเป็นมองผู้หญิงที่เบ่งเข้าออกมาจากช่องคลอด เส้นหน้าผากตึงไปหมด เขารู้สึกได้ว่าคิ้วของเขากำลังขมวดเข้าหากันและเขาไม่สามารถปกปิดความกดดันนั้นได้อีกต่อไป
“เอาจริงหรอ”
มินฮยอนแค่พยักหน้ารับ
“ตั้งแต่เมื่อไร”
“ม.2 ครับ”
“กี่ครั้งแล้ว”
“หมายถึงอะไรกี่ครั้งครับ”
“อย่าทำเป็นไขสือหน่อยเลย”
มินฮยอนหลับตาแน่น
“ยังครับ ยังไม่เคยอะไรแบบนั้นกันเลย”
อาการหน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดูตีวูบขึ้นมารวมกองกันอยู่หัวตา มินฮยอนปั้นโกหกคำโตออกมา ถือเป็นการโกหกที่หน้าด้านที่สุดในชีวิตสิบแปดปีของเขา จะให้แม่รู้ได้ยังไงว่านอกจากจะเอากันแล้ว เอาได้ทุกที่แล้ว ยังเอากันในขณะที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วย
อ้อ…ลืมไป
ไม่มีใครสถานปนาความสัมพันธ์ของเขาว่าแฟนด้วยซ้ำ
“มินฮยอน…ไม่มีอะไรโกหกแม่ใช่มั้ย”
เสียงหัวเราะขื่นๆดังขึ้นในใจเด็กหนุ่ม
“ไม่ครับ ไม่มีอะไรโกหกเลยครับ”
“แม่เชื่อแกนะ”
“ครับ”
เด็กหนุ่มผงกหัวปะหลกๆ สิ่งที่มินฮยอนแสดงออกได้ดีที่สุดคือการก้มหน้า เพราะบ่า ไหล่ คอมันหนักไปหมด ก้อนความรู้สึก ก้อนความลับ ก้อนคำโกหกมันใหญ่โตจนเขาแทบแบกรับมันไว้ไม่ไหว ทั้งกดทั้งดึงให้เขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นไปยอมรับไอ้ที่พึ่งพูดไปได้อย่างเต็มอก ไม่จริง ไม่มีอะไรจริงซักอย่างที่พึ่งพูดออกมา
“ขอบใจนะที่ยังไม่หน้ามืดทำอะไรแบบนั้น”
“…”
“ขอบใจที่ยังเป็นคนดีให้แม่…มินฮยอนเป็นเด็กดีให้แม่เสมอ”
คนดีหรอครับแม่ ผมเป็นคนดีอย่างนั้นหรอครับ
มินฮยอนได้ยินเสียงสูดน้ำมูกบางๆจากคนอีกฝั่ง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงอุ้มของสองมือบนแก้ม
“จะเป็นอะไรก็เป็น จะห้ามกันก็ไม่ทันแล้วนี่”
“…”
มิยองเดินมานั่งยองข้างเก้าอี้ มือกอบโครงหน้าของลูกชายขึ้นมามองอีกครั้ง มินฮยอนสังเกตได้ถึงขอบตาแดงก่ำที่เขาอนุมานว่าคงไม่ต่างจากของตัวเขาเอง
“แต่อย่าไปทำอะไรเหลวไหลก็แล้วกัน อย่าให้คนเขาด่าได้”
“…”
“ยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งต้องทำตัวให้ดี ดีกว่าคนอื่นเขา เพศพวกนี้มันอยู่ยาก ยิ่งความรักหรอไม่ต้องพูดถึง มันไม่มียั่งยืน ต้องดูแลตัวเองมากๆ โรคติดต่ออะไรมันก็ติดกันง่ายกับคนพวกนี้ คิดกันแต่ว่าไม่ท้องแล้วก็มั่วกันไปหมด แกไว้ใจใครจริงๆไม่ได้หรอก”
“ผม…”
“แก…สัญญากับแม่ได้มั้ย”
มิยองมองมาด้วยสายตาเร่งรัดเอาคำตอบ มินฮยอนทำได้แค่ส่ายหน้า
“ผมสัญญาไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไม?”
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะอดทนเป็นคนดีของแม่ได้นานแค่ไหน”
“มินฮยอนแค่ทำเหมือนที่แกทำมา และทำให้มันดีขึ้น”
“ผมคิดว่าผมคงดีกว่านี้…ไม่ได้แล้ว”
มินฮยอนเริ่มรู้ตัวว่าเหมือนจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว เอาเข้าจริงเขาเองก็แทบจะควบคุมอะไรไม่ได้เลยในเวลานี้ เพราะในหัวสมองกำลังบิดเกลียวแน่นไปด้วยภาพเรือนร่าง เนื้อสัมผัส และการกระทำที่เกิดขึ้นภายใต้แสงไฟสลัวนั่นตลอดเวลา
“ไม่รู้ผมต้องสูญเสียอีกเท่าไรให้กับคำว่าคนดีคนเก่งของแม่”
“มินฮยอน…”
“แม้แต่กระทั่งการ์ตูนเล่มยังอ่านไม่เป็น เพราะวันๆอ่านแต่หนังสือเรียน
โมเดิร์นไนน์การ์ตูนผมก็ไม่เคยได้ดู เพื่อนมันคุยกันตั้งแต่เบลย์เบลดยันวอร์คราฟ แรกนาร็อกอะไรผมก็ไม่เคยคุยกับพวกมันได้ ทำไมอะแม่ ทำไมผมต้องไม่เหมือนเด็กคนอื่นด้วย”
“แม่แค่อยากให้แกโตขึ้นมาอย่างดี”
“จนโตมาถึงตอนนี้ ผมพลาดอะไรไปหลายอย่าง และผมก็ทำพลาดอะไรไปมากมายโดยที่แม่ก็ไม่เคยรับรู้ และผมก็ไม่เคยให้ใครรู้”
ภาพร่องรอยสีกุหลาบที่เขามักแอบฝากไว้เสมอในที่ที่คิดว่าซึลกิจะไม่เห็น
ภาพเม็ดเหงื่อที่ประปรายอยู่ใบหน้าและร่างกายใต้อาณัติของเขา
ภาพเรียวปากของอีกคนที่จู่โจมเข้ามาพร้อมกับเสียงออดเปลี่ยนคาบเรียนในห้องน้ำชาย
ภาพในฝันของเขาเองที่ฮยอนบิน ซึลกิและเขากำลังบรรลุภารกิจไปพร้อมกัน
และภาพที่ถูกแช่ทิ้งนานที่สุดคือ
เจ้าหนูของเขาที่ไม่แม้แต่คิดสวมถุงยางอนามัยกำลังเข้าและออกร่างกายของอีกคน
มินฮยอนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
“แม่ไม่เคยให้สิทธิผมได้พลาดเลย จนตอนนี้ผมก็นึกไม่ออกแล้วเหมือนกันว่าผมจะเป็นคนดีกว่านี้ให้แม่ได้อีกมั้ย หรือคนดีกว่านี้ของแม่คืออะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แม่บอกผมหน่อยว่าผมควรจะดีกว่านี้ได้ยังไง”
“…”
“ผมขอเป็นแค่คนธรรมดาได้มั้ยแม่ มันเหนื่อยกับการต้องพยายามเป็นคนดีตลอดเวลา ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองดีถึงขนาดไหนที่จะไปบอกคนอื่นว่าผมเป็นคนดี ผมแค่อยากมีโอกาสพลาดเหมือนคนอื่น สามารถยอมรับตัวเองได้ว่าผมพลาดไปแล้วหาทางแก้ไขมันได้”
“และในวันที่ล้ม คนจะไม่กระทืบซ้ำผมให้หนักขึ้น…เพราะแค่ผมเป็นเกย์”
“มินฮยอน”
“แม่…ผมขอได้มั้ย”
เหมือนขั้วสติสัมปชัญญะของมินฮยอนกลับมาต่อติดอีกครั้ง เขารู้สึกได้ถึงตาที่พร่าไปด้วยม่านน้ำตา เขาปาดมันออกด้วยหลังแขน มิยองไม่ได้กอบมือไว้ที่หน้าเขาอีกแล้ว แต่กลับไปรองรับน้ำตาที่ไหลบ่าออกมาจากตาของเธอเอง
แม่ไม่ตอบอะไรนอกจากเสียงสะอื้น
“มินฮยอน…”
“แม่ไม่ทำกับข้าวใช่มั้ย เดี๋ยวผมพาแดนออกไปกินข้างนอกเอง”
มินฮยอนผละตัวเองออกจากเก้าอี้แล้วเดินขึ้นชั้นบนไป
พร้อมกับน้ำตาล็อตสองที่ไหลออกมาอีกครั้ง
THE TICKET โปรดเก็บไว้ให้รัก
แกร้ก
ปึ้ง!!
เสียงเปิดประตูดังละฟาดปิดลงอย่างแรง แต่มินฮยอนแทบจะไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะด้วยสมองไม่ได้พร้อมจะโฟกัสอะไรแม้แต่เพื่อนที่สะดุ้งตาตั้งอยู่บนเตียง เขาไม่รู้ว่าการปรากฎตัวพร้อมตาแดงก่ำและรอยน้ำตาแห้งๆบนแก้มจะทำให้อีกฝ่ายตระหนกตกใจอะไรหรือเปล่า
“เป็นไรวะฝ่า”
มินฮยอนไม่ตอบอะไรกับคำถามก่อนหน้า เขาเพียงเดินมาด้วยแรงที่ดูเหลืออยู่น้อยนิดแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงซึ่งเขาเป็นเจ้าของ น้ำใสล้นออกมาจากขอบตา มือยกขึ้นมาปิดทั้งหน้า แล้วมินฮยอนก็ซบลงที่เข่าแล้วสะอื้นตัวโยน
“เฮ้ย…มึงร้องไห้ทำไม มึงบอกกูๆ”
มินฮยอนรู้สึกได้ว่าไหล่กว้างของเขากำลังถูกเขย่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ไอ้แดเนียลจะทำบ้าแบบนี้ทำไม ไม่เข้าใจเหตุผลของมันเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โพล่งอะไรออกไป ทั้งหมดคือแค่เขาที่กำลังทรุดหน้าลงกับหน้าขาแล้วปล่อยน้ำตาและเสียงสะอื้นออกมาไม่หยุดและมีแดเนียลเขย่าอยู่ข้างๆ
ไม่นาน มินฮยอนเงยหน้าขึ้นมามองแดเนียลที่ยังค้างมือไว้ที่ไหล่ของเขา ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าสภาพหน้าตาของเขาเหยเกจนไม่มีเค้าคนที่ถูกพวกมึงเรียกว่าฝ่าบาท ไม่เหลือเลย ข้างในของเขามันถูกทุบทำลายจนไม่เหลือซากอะไรให้ระลึกถึงได้เลย
ในตอนนี้เหลือก็แต่เพียงพวงแก้มที่อาบไปด้วยน้ำตาและแววตาที่ปริร้าวยับเยินอยู่ภายใน
“กูกอดมึงได้ไหม”
“เอาดิ มากอดมา”
แดเนียลเปิดแขนออกมินฮยอนสวมกอดเข้ามาแน่น เขาสะอื้นหนักและแรงมากจนแดเนียลสั่นตามไปด้วย เขาโถมตัวเองทั้งหมดไปที่อีกคนเพราะเขาก็ก็ไม่มีแรงเหลือที่จะนั่งหน้าตั้งหลังตรงได้อีกแล้ว น้ำตาของเขามากมายลงไปเปียกอยู่ตามแก้มและบนเสื้อยืดของแดเนียลจนเปียกไปหมด
“มีไรบอกกูนะ”
“ขอบใจนะ…แต่กูบอกไม่ได้”
วันนี้กูพูดมากเกินไปแล้ว หมายถึงโกหกออกมามากเกินไปแล้ว
โดยที่กูไม่สามารถพูดความจริงกับมึงได้ด้วย
“พร้อมเมื่อไรมึงค่อยบอกกูก็ได้”
“…”
“โลกนี้ยังมีกูนะ มันไม่ได้เหี้ยกับมึงขนาดนั้นหรอก”
ยิ่งพูดปลอบโยนยิ่งเหมือนกลายเป็นเข็มเหล็กนับร้อยทิ่มเข้าไป อ้อมกอดของเขายิ่งรัดแน่นขึ้น คำพูดของแดเนียลมันสะท้านลึกเข้าไป เหมือนกระไฟไหลเข้าไปช็อตอยู่ข้างใน
เขาไม่ไหวที่จะเป็นมินฮยอนอย่างที่เคยเป็น อย่างที่ทุกคนคาดหวัง อย่างที่เขาเองก็คาดหวัง เขาเป็นไม่ไหวแล้ว
“ดะดะแดน…มึงจะกะโกรธกูมั้ย” เขาละล่ำละลักเสียงสั่นทั้งที่ยังกอดแดเนียลอยู่
“เรื่อง?”
“ถ้า กะกูจะขอ…ฮึก…มึงสอนดะดะดูดบุหรี่หน่อย”
เขาไม่รู้ว่าแดเนียลตอบรับกับมันอย่างไร
รู้แต่เพียงเขาสะอื้นหนักจนไม่มีเสียงอะไรจะแทรกออกมา
แดเนียลผละออกมามองหน้าเขาตรงๆ
“ทำไมวะฝ่า เกิดอะไรขึ้น”
เขายังคงสะอื้น
“กูไม่อยากเป็นคนดีแล้ว กูอยากเป็นคนธรรมดาเหมือนพวกมึง กูเหนื่อย”
แดเนียลเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเขาออก “หัดเหี้ยบ้างก็ได้”
“…”
“ฝ่า มึงจำไว้…ไม่มีใครเกลียดมึงหรอกถ้าเหี้ยแล้วไม่เดือดร้อน”
แดเนียลดึงเขากลับไปซบที่ไหล่กว้างของมันอีกครั้ง
ขอบคุณนะ
// TBC
มาต่อแล้วค้าบบบบ //ก้มกราบ หายไปนานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบถ้าเลิกอ่านไปก็คือไม่โกรธเลย แล้วก็คือกลับมาแบบไม่ใช่ตอนหลักด้วย แงง เค้าขอโทษ ตอนนี้ก็คือตอนหนึ่งที่เราตั้งใจเขียนขึ้นมามากเลย (เป็นเหตุผลหลักที่สร้างสเปเชียลชุดนี้ขึ้นมาด้วย) ใช้เวลานานมากกว่าจะได้ กว่าควบรวมอารมณ์ความรู้สึกตัวละครแล้วกลั่นออกมาได้ ยากมากค่ะ ยังมีส่วนที่ไม่สมบูรณ์อยู่ด้วย แต่ว่าเป็นเรื่องที่เราไม่มีทางเข้าใจได้ในเร็ววัน ก็เลยตัดสินใจจบมันซะ เลยออกมาให้ได้อ่านกันตอนนี้ค่ะ ตอนนี้ทีสิสส่งหนังแล้วค่ะ เหลือทำเล่ม ที่ผ่านมาก็คือวิบากกรรมล้วน ไม่ได้ขอให้เข้าใจกันนะคะ แต่ก็…55555555555 ช่วงนี้ได้หายใจหายคอบ้างแล้ว หลังจากนี้ก็น่าจะ (ไม่สัญญานะ) กลับมาได้ถี่ขึ้น อยากกลับมาเจอทุกคนบ่อยๆเลยค่ะจริงๆ คิดถึงมากทั้งคนอ่านทั้งคุณแดน คุณจิน คุณอง คุณเจ คุณมิน คุณบิน คุณแจ้ คุณแซม คุณจี้ คุณหวี คิดถึงมากๆและอยากให้ทุกคนมีความสุขกับฟิคตอนนี้นะคะ
Comments