Gokigen Sayonara | แกงส้มจะอมไข่ Final EP.
- fcukingmontage
- 26 ก.ค. 2564
- ยาว 6 นาที
อัปเดตเมื่อ 7 ก.ย. 2565
COUPLE: อิมยองมิน x จองเซอุน / คังแดเนียล x อีอูจิน HASHTAG: #แกงส้มจะอมไข่
“ไข่ตุ๋น กูไม่เจอมึงนานมากเหอะ”
ยังไม่ทันได้เห็นตัวก็ได้ยินเสียงมาจากที่ไกลๆ กล้วยยืนโบกมือให้ผม ข้างๆ มันก็มีป้อกแป้กยืนประกบอยู่ตามระเบียบ สุดท้ายแล้วพวกมันก็หนีกันเองไม่พ้นเถอะ ผมส่ายหน้าขำๆแล้วเดินเข้าไปหาพวกมัน
ป้อกแป้กพุ่งตัวเข้ากอดผมแบบไม่ได้ตั้งตัว แน่หล่ะ ถึงจะตีตบกันอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายแล้วการเรียนภาพยนตร์ซึ่งกลายเป็นทั้งชีวิตของพวกเราอยู่สี่ปี และยิ่งแล้วในหกเดือนสุดท้ายกับวิชาธีสิส ก็ทำให้เราช่วยกันทั้งผลัก ดัน ถีบ จนเกือบกระทืบกันก็มี
“ช่วงนี้กูทำงานว่ะ ออฟฟิศกับหอ กูไม่เจอใครเลย 55555555555”
“เช็ดครก กูยังนอนเกาไข่ที่บ้านอยู่เรย มึงก้าวหน้าจังวะ” กล้วยว่าพลางเกาหัวที่หมายถึงศีรษะ
“ดวงว่ะ พี่เพียวแกอยากได้คนช่วยตัดซีรีส์พอดี เขาเลยโทรมาหากู”
เพราะเคยฝึกงานตัดต่อกับพี่เพียว เขามีเบอร์เก็บไว้ก็เลยโทรมา นี่คือสิ่งที่เรียกว่าคอนเนคชัน และที่นี่ ตอนนี้ เวลานี้ เทศกาลฉายหนังธีสิสก็คือตลาดหาคอนเนคชันชั้นดีของพวกเรา
“แกเห็นสูจิบัตรที่ชั้นทำยัง” ป้อกแป้กโชว์สูจิบัตรงานฉายธีสิสปีนี้ของพวกเราขึ้นมา
“ไปเอามาละ น้องที่โต๊ะทะเบียนบอกจะหมดแล้ว”
ผมมองสูจิบัตรในมือตัวเองอีกครั้ง
พี่ครับ…ปล่อยเพื่อนผมเถอะครับ
ชื่องานประจำปีนี้เป็นชื่อที่เกิดจากความห่ามของพวกเราทั้งเอกล้วนๆ เครียดกับเรื่องธีสิสไม่พอ ยังต้องมาโกรธอีเหี้ยประยวยหัวคุดอีก ไอ้สวะโสโครกแม่เย็ด ไม่ใช่แค่หมามึงคนเดียว ไอ้เจ้าของหมาเหี้ยนั่นก็ด้วย
ความห่ามที่ว่านี้ก็ไม่ใช่เพราะเทียบกับเพื่อนคนอื่นหรือเทียบกับอาจารย์ของพวกเราแต่อย่างใด (เพราะก็นัดกันไปม็อบอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอาจารย์คนนั้น) แต่เพราะเมื่อนึกถึงหน้าอธิการหัวขาวของพวกเราที่กำลังจะมาเปิดงานในวันนี้ ไม่รู้แกจะหัวร้อนจนกะทิบนหัวละลายลงมาหรือเปล่า
“ห้องเรามากันครบหรือเปล่าวะ”
“ตอนนี้เห็นแค่นี้แหละ มีจิวอีกคน แต่ไม่รู้หายไปไหนแล้ว” ป้อกแป้กมองหาจิวอยู่จริงๆ
จะแปลกใจกันหรือเปล่า ถ้าบอกว่าคนคิดชื่อนี้คือไอ้จิว ไอ้นั่นแหละ
“คงอยู่แถวนี้แหละ เดี๋ยวกูไปหามันก่อน”
“เออ ฝากตามมันกลับมาดูหนังตัวเองด้วย” กล้วยตะโกนไล่หลังผมมา
ผมคิดว่าผมเดาถูกนะ
จิวอยู่แถวนั้นแหละ
ผมเดินมาออกทางข้างหลังหอศิลป์ ก้าวไปอีกไม่เท่าไรก็เห็นกลุ่มควันสีขาวพร้อมร่างเล็กๆ ยืนกอดอกพ่นควันอยู่
“บุหรี่มันอร่อยไหมเพื่อน”
“ขมจะตายห่า”
จิวว่าพลางขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งกับกระบะทรายก่อนจะหยิบมวนใหม่ขึ้นมาจุด
“ขมละดูดจังเลยนะ”
“ก็ไม่รู้จะทำไงนี่ มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ก็จริงอย่างที่มันว่า ควันที่ผมพ่นออกไปมันก็ขมอย่างนั้นจริงๆ
“จะเข้าไปดูหนังตัวเองไหมนิ” ผมพูดทั้งที่ยังพ่นควันออกไม่หมด
“ยังไม่รู้เลย” จิวยักไหล่ก่อนหันมามองหน้าผม
“เหย หนังมึงฉายเปิดเทศกาลเลยนะเว้ย”
“ไม่รู้ว่ากูไม่อยากดูหนังหรือไม่อยากดูคนดูหนังไม่รู้ แค่กลัว”
“ถ้าเป็นคนดูทั่วไป จะกลัวก็ไม่แปลกอ่ะ แต่มึงก็ควรไปดูให้เห็นกับตาอะนะว่าเขาดูแล้วรู้สึกยังไง มันอาจจะดีก็ได้”
“ส่วนถ้าเป็นคนนั้น กูไม่รู้ว่ะ พูดไม่ถูกเหมือนกัน”
จิวหันมองหน้าผม ผมพูดต่อ
“กูคิดว่าก็ไม่อยากเจอเขาเหมือนกัน”
“กูเข้าใจ”
จะว่าไป เราสองคนน่าจะเป็นคนที่คุยกันรู้เรื่องที่สุด แม้ว่าความเข้าใจนี้จะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ในช่วงที่งานกำลังเดือดเป็นกระทะทองแดง อยู่ๆ จิวก็เคาะประตูที่หอของผมพร้อมน้ำตานองหน้า ไม่มีใครรู้มาก่อน ผมก็ไม่รู้ และที่หนักที่สุดคือ จิวก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวนี้มันไปเกิดตอนไหน
สิ่งที่จิวเล่าตามที่มันรู้คือ ความสัมพันธ์ของมันกับอาจารย์นนทัช เป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้น สถานะที่อยู่กันอย่างหลบซ่อนมาตลอด ซ่อนจากเพื่อนของจิว เพื่อนของนนทัช ซ่อนจากทุกคน ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเรื่องราวระหว่างอาจารย์กับนักศึกษามันไม่เคยเป็นเรื่องดีที่มันจะแพร่งพรายออกไป (แม้ว่าจะเป็นแค่กรรมการตรวจธีสิสก็เถอะ)
แต่อยู่ๆ นนทัชก็ประกาศ official แฟน ท่ามกลางแขกเหรื่อร่วมแสดงความยินดีมากมาย
“กูยังไม่เห็นแกงส้มนะวันนี้”
และในวันนั้นเองผมก็พูดคุยจิวเรื่องที่ทำให้เราเข้าอกเข้าใจกัน
“ไม่ได้คาดหวังให้เขามาหรอก” ผมว่าพร้อมยักไหล่
“แต่เขาต้องมาดูหนังไอ้อ้อยอยู่แล้วแหละ”
“เจ็บเลยงี้”
“เอาหน่า มึงอย่าคิดมาก เขาไม่ได้คิดอะไรกับใครเลยเว่ย” จิวพูดพร้อมขยี้ก้นบุหรี่กับที่เขี่ย
“เพราะแม่งไม่คิดนี่แหละอีเหี้ยเอ้ย”
ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดหน้าจอเพื่อดูเวลา ใกล้พิธีเปิดเต็มที
“สรุปมึงเข้าไม่เข้า” ผมหันไปชวนในโค้งสุดท้าย
“ไม่รู้ว่ะ”
“ยังไม่รู้อยู่อีก”
“มึงเข้าไปเถอะ เดี๋ยวกูไปด้วย”
แล้วเราก็ตัดสินใจเดินเข้าโถงกลางไป มีเสียงของน้องทีมจัดงานประกาศเรียกคนเข้าห้องฉายก่อนพิธีเปิด จะเริ่ม เป็นปกติที่เราจะเห็นผู้คนรีบกระวีกระวาดถอดรองเท้า วางแก้วน้ำทิ้งไว้ด้านนอก แล้ววิ่งเข้าห้องฉายเพราะหากพลาดเข้าประตูรอบนี้แปลว่าจะพลาดหนังชุดสี่เรื่องและต้องรอรอบต่อไปเท่านั้น ไม่มีการเปิดประตูระหว่างฉายเด็ดขาดเพราะแสงจะลอดเข้าไปรบกวนผู้ชมด้านใน
“พี่ตาวหวัดดีครับ”
“จิว พี่โคตรอยากดูหนังเอ็งเลย”
ผมมองหน้าจิวเหมือนกับที่มันก็มองหน้าผม เห็นมั้ย คนชอบหนังมึงเยอะแยะ ผมแอบบอกมันในใจ
“น้านนเล่าให้พี่ฟังละโคตรดี”
นั่น หนึ่งดอก
พี่แม่งไม่รู้อะไรเลย
“ไปๆ รีบเข้า”
“เดี๋ยวผมรอพ่อก่อนครับ” จิวบอกพี่ตาวหน้านิ่ง
“เจ๋งว่ะ พ่อมาดูด้วยหรอ ดีๆ”
พี่ตาว อาจารย์วิชาสารคดีของพวกเรารุดเข้าห้องไปก่อน จิวกับผมยังยืนรอโดยที่ไม่รู้ว่ารออะไรอยู่ที่เดิม พ่อไม่มา แม่ไม่มา ไม่มีญาติคนไหนมา เพื่อนพี่น้องก็มีแค่คนแถวนี้ แต่ต่อให้คาดหวังหรือไม่คาดหวังก็ตาม นนทัชก็มายืนอยู่ตรงหน้าพวกเราจนได้ ผมสอดมือไปกุมมือมันไว้แน่น มึง…เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ฮึบไว้
“จิว…อย่าโดดหนังตัวเองนะ เข้าไปดูเหอะ จะได้รู้ฟีดแบคคน”
“ขอบคุณนะครับอาจารย์ ที่ยังว่างมาดู”
“เห้ย พูดอะไรงั้น ต้องว่างมาดิ ทำมาด้วยกันแท้ๆ”
“อ้อ หนังไอ้ข้นก็ฉายโปรแกรมนี้ แอดไวซีคุณนิ”
“คิดมากอีกแล้วไอ้เด็ก”
จิวเก่งมากที่ไม่ร้องไห้ แต่มันก็ทำได้แค่ยิ้มแกนๆ ยิ้มมารยาทให้กับคนตรงหน้าที่ดูไม่รู้สึกอะไรเลย
“พ่อแม่มาดูด้วยหรือเปล่า” นนทัชว่าพลางเอามือไพล่หลัง
“ไม่มาอ่ะ ไม่ได้เรียก”
“เอ๋า ก็เป็นคนอย่างนี้”
จิวบีบมือผมแน่น “ยินดีกับงานแต่งด้วยนะครับ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไป”
“พี่ก็ขอโทษจริงๆ ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้เลย”
จิวยังกำมือผมแน่น ผมยังถอยออกมาไม่ได้ แม้ว่าทั้งสองคนจะมองตากันนิ่งงันราวกับหลุดไปในโลกที่มีแต่การสื่อสารกันเอง ต่อให้ไม่ต้องกระโดดเข้าไปในหัวของพวกเขา ผมก็รู้ดีกว่าม้วนฟิล์มแห่งความทรงจำกำลังไหลผ่านสมองออกสู่สายตาของกันและกัน ไม่มีใครล่วงรู้ได้ นอกจากพวกเขาสองคน
แต่ที่จิวยังคงกำมือผมไว้
อาจเพื่อไม่ให้ถลำตัวเข้าสู่โลกของความไม่จริงอีก
“เราพอจะเข้าใจได้ ก็เตรียมใจอยู่แล้ว”
“ไปดูหนังกันเถอะ”
ไม่ใช่แค่จิว แต่น้านนยังเรียกผมด้วย เราสามคนเป็นกลุ่มสุดท้ายที่น้องสตาฟเรียกเข้า ประตูปิดแล้ว น้านนแยกไปอยู่กับพวกอาจารย์ ยกมือไหว้ทักทายกันตามประสา ผมเห็นจิวยังมองตามเขาไป ผมพาให้จิวนั่งลงที่เสื่อใกล้กำแพงเพราะที่หมดแล้ว ไฟมืดลง พิธีเปิดกำลังจะเริ่ม จิวหันมาพูดกับผม
“กูรู้เหตุผลตั้งนานแล้ว แต่มึงเก็ตมั้ย…”
ผมเงียบฟัง
“… มันเจ็บเพราะกูรู้ทุกอย่างแต่แรกนี่แหละ”
แกงส้มจะอมไข่
รอบฉายปฐมทัศน์จบไปด้วยดี
ไม่มีใครเอากะทิไปราดหัวอธิการตามข่าวลือตลกๆก่อนหน้านี้ แม้ว่าแกจะฉุนๆหน่อยตอนโดนบังคับให้พูดชื่องาน แค่นั้นก็ถือว่าชนะแล้ว หนังที่ฉายในรอบนี้ถือว่าทีมจัดโปรแกรมจัดมาได้อย่างดี รอบที่ถือว่ามีคนมากมายหลากหลาย รวมทั้งสื่อมวลชนมาทำข่าวและสัมภาษณ์บรรดาผู้กำกับนักศึกษาที่ถือว่าเป็นตัวแทนรุ่น (ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องอื่นไม่ดีหรือดีน้อยกว่า เพียงแต่หนังกลุ่มนี้เป็นหนังชนิดที่ตีตลาดกลุ่มคนได้กว้าง การตลาดล้วนๆ)
เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่หลังจากหนังฉายเสร็จ จิวกลายเป็นแหล่งดึงดูดผู้คนทันทีหลังจากมีคนชี้เป้าเปิดวาร์ปกลางงาน คนที่ได้ดูหนังฟ้าผ่าเด็กจนพูดภาษาเยอรมันของจิวกรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุด แทบจะจับมันโยนฉลองชัยอยู่แล้ว เพราะเนื้อหาที่แหลมไปทางการเมืองแบบใต้บรรทัดแต่แรงสัด เล่นกันชนิดถึงลูกถึงคน เดือนที่แล้วยังงอแงจะไม่ส่งหนังจบอยู่เลย บอกไม่เรียนแล้ว จะลาออก อีบ้าเอ้ย
ผมคิดว่าพ่อแม่มันคงไม่ได้มาดูหนังของลูกชายตัวเอง แต่นั่นก็อาจจะมากไปสำหรับจิว คนที่กลัวที่สุด ถ้าแม่ “และโดยเฉพาะกับพ่อ” ต้องมาทนดูหนังที่กำลังถอดรื้อโครงสร้างครอบครัวจริงของตัวเองและครอบครัวทิพย์ของประเทศเฮงซวยนี้อย่างถึงกึ๋น (แม้ว่าลึกๆ มันเองก็หวังไว้ว่าสักวันหนึ่ง…สักวัน)
ป้อกแป้กก็ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายที่มาแสดงความยินดี ช่อดอกไม้เต็มมือ หนังเด็กสาวสองคนที่ต้องอยู่กับโรคซึมเศร้าในบรรยากาศแสงสีม่วงของนางก็เป็นหนังที่มีคนให้กำลังใจอย่างมากมายอยู่แล้ว แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับคอนเซปต์ของหนังเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังของป้อกแป้กมันจริงใจ ซื่อสัตย์และทำออกมาอย่างตั้งใจดีจริงๆ
ส่วนอีกคนที่ฉายในรอบนี้ เคนโด้ ก็ยังห้อมล้อมอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้ชายของมัน ผมไม่แน่ใจว่าหนังมันดีมากไหม แต่ก็คงเป็นรสชาติที่อีกหลายคนมากจะชอบ แต่ดูหนังมันแล้วก็นึกไปถึงตอนที่อาจารย์สั่งทุกคนให้ออกไปนอกห้องแล้วประชุมกันเอง หลังจากเคนโด้พรีเซนต์บทเสร็จ
ไม่รู้ F หรือดรอป แต่ไม่ใช่เรื่องดีแน่
แล้วมันก็พุ่งพรวดเข้าไปในห้อง
เสียงโต้เถียงกันดังมาจากในห้องแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเถียงกันเรื่องอะไร แต่หลักๆ คือเสียงระหว่างเคนโด้กับอาจารย์แกงส้มดังลอดมาไม่หยุด พวกเราทุกคนอยู่ในภาวะกดดันมากถึงมากที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้โดนเอง แต่ก็อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เข้าใจอาจารย์ก็เข้าใจ สงสารเพื่อนก็สงสาร จิวที่บ่อน้ำตาตื้นอยู่แล้วก็เริ่มซึม ป้อกแป้กนั่งหงอยให้กล้วยปลอบ ส่วนผมกับอ้อยควั่นยืนคอตกกันอยู่ที่ระเบียง แต่ทันใดนั้น
โครม!
เคนโด้ผลักประตูพรวดออกจากห้องแล้วเตะกองเก้าอี้เลคเชอร์ล้มเสียงดังสนั่น ก่อนมันจะเดินกระแทกเท้าออกไป จากที่อารมณ์เต็มตื้นอยู่แล้ว น้ำตาจิวก็ร่วงออกมา ป้อกแป้กร้องไห้ของจริง อ้อยควั่นวิ่งตามไปคุย ส่วนผม ยืนมือสั่นทำอะไรไม่ถูก แต่ดูเหมือนคนที่น่าสงสารที่สุดคือพี่ตาว
“แกๆ มันเกิดอะไรขึ้นหรอ ฉันขี้อยู่” แกโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำพร้อมสีหน้าเควชชันมาร์ก
ผมดีใจนะที่เคนโด้มันมีวันนี้ได้ วันที่ไม่ต้องโวยวายใส่ใคร ยิ้มได้เต็มแก้มสักที และแน่นอนกล้วยก็…เอ่อ ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้น หนังมึงดีมากที่สุด สุดยอด เยี่ยม ยอดเยี่ยม ดีที่สุด เลิศที่สุด ชนะเลิศ ฮือออ”
“อีกล้วย มึงเป็นไรนัก”
ข้นเดินเข้าไปตีไหล่มันถึงที่ เคนโด้แอบถ่ายคลิปไว้แบลคเมล์
“มึง ก็หนังมึงดี ขนาดฉายเรื่องแรกกุยังหยุดร้องไห้ไม่ได้เรย ถ้ามึงพูดอีกว่าหนังห่วยกุจาตีให้ปากแตก ฮือออออ”
แม้ว่าจะไม่ค่อยมีซีนนัก แต่หนังความรักระหว่างเพื่อนชายในชุมชนมุสลิมของข้นก็เป็นประเด็นที่กินใจใครหลายคน แม้กระทั่งผมเองก็ยังแอบน้ำตาซึม ไม่ว่าโลกจะหมุนไปแค่ไหน Forbidden Love รักต้องห้ามก็ยังเป็นพล็อตคลาสสิกที่ถึงอย่างไรก็กินใจ แถมยังวิพากษ์วิจารณ์การเมืองในบ้านนักสอนศาสนาอย่างดุเดือด เสียดายไปหน่อยที่หนังของเข้ม พี่น้องฝาแฝดของมันไม่ได้ฉายในโปรแกรมเดียวกัน
ผมคอยสังเกตบรรยากาศหลังรอบฉายอยู่ห่างจากทุกคน จะหาว่าอวยกันเองก็ได้ แต่ปีนี้ ปีของเรา พวกเราทำมันได้ดีจริงๆ นี่แหละบรรยากาศของความยินดี ยินดีที่ทุกคนได้เติบโต จากเด็กที่ตบสเลทแรงๆ หน้านักแสดงจนลืมบท เด็กที่ม้วนสายไฟไม่เป็นจนต้องมาสอนกัน เด็กที่ถ่ายออโต้โฟกัสมาจนภาพเบลอหน้าหลังชัดมั่วไปหมด เด็กที่เขียนบทแบบไม่มีตอนจบซักที เขียนได้ครึ่งเรื่องก็คิดว่าตัวเองเขียนจบแล้ว
ไม่ต้องเทียบกับใครเลย เทียบกับตัวเองนี่แหละ
เราทุกคนมาไกลกันมากจริงๆ
“กูรอดูหนังมึงนะ”
เสียงที่คุ้นเคยดังจากด้านหลัง ผมหันไปเจอหน้ามัน คนที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานมาก แต่ก็ไม่ได้อยากเจอไปด้วยในทีเดียวกัน
“คนจัดโปรแกรมมันเกลียดกูหรือเปล่า เอาหนังกูมาอยู่กับมึง”
“อาจจะดูเหี้ย แต่ยังติดใจอยู่หรอ”
“เออ อีอ้อย”
ผมกับอ้อยควั่นไม่คุยกันอยู่พักใหญ่ เพราะขุ่นข้องหมองใจกันเรื่องการทำงาน ไม่ได้หึงเลยจริงๆนะ แต่การเบี้ยวกองธีสิสแล้วไปออกกองถ่ายหนังของอาจารย์ที่ปรึกษาแทนนี่มัน…อะไรนะ
เผื่อใครไม่รู้ว่าการกำกับหนังพร้อมทำงานจัดการส่วนโปรดิวเซอร์ไปด้วย
คือนรกบนดิน
และการที่โปรดิวเซอร์เบี้ยวกองแบบบอกล่วงหน้าไม่ถึง 6 ชม.
คือผีห่าซาตาน
บอกแล้วว่าผมไม่ได้หึงจริงๆ
“อ้อย เรื่องมันมีมากกว่าที่มึงเข้าใจหน่ะ”
“เราคงเจอกันวันนี้วันสุดท้าย มึงช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่ามันยังไงกันวะ”
“มึงจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องจริงๆ หรอ”
“กูยังบอกมึงทุกเรื่องเลย ไข่ตุ๋น”
“เรื่องที่มึงมาชอบกู ตอนกูไม่อยากรู้แล้วอะนะ”
“โถ่เว้ย อย่ากวนน้ำให้ขุ่นได้ไหมวะ”
ความสัมพันธ์ของผมกับอ้อยควั่นเป็นความสัมพันธ์ที่พูดลำบาก เราสนิทกันมากเกินกว่าจะเป็นแฟนกัน แถมโชคชะตาก็เล่นตลกให้เราไม่เจอกันในเวลาที่ควรเจอ
ผมออกไปเมาที่หลังมอสิบวันติดตอนปีสอง หมดบุหรี่ไปหนึ่งคอตตอนในหนึ่งสัปดาห์เพราะคลั่งรักมัน ผมบอกมันอย่างตรงไปตรงมาและแน่นอนว่าถูกปฏิเสธ จบลงเมาเละกระทั่งนอนกลางถนนจนเกือบโดนมอเตอร์ไซค์ทับไส้แตกตาย ผมหายหน้าจากมันไปช่วงหนึ่ง ไม่นานเท่าไรหรอก แต่หลังจากนั้นผมหวังแค่ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ตลอดไป
ผมคิดว่าผมทำได้ดีมากประมาณหนึ่งเลยนะ
จนเวลาผ่านไป จนเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทใจ จนผมเพิ่งมารู้เมื่อไม่นานนี้เอง หลังจากเรื่องเบี้ยวกองด้วยซ้ำว่าช่วงปีสามที่เราเรียนวิชาถ่ายทำ (ของแกงส้ม) และวิชาอาร์ตไดฯ ที่เราออกกองกันยับเยินมากที่สุด ผมกับอ้อยอยู่กลุ่มเดียวกันทุกครั้งตลอดเทอม มันมีช่วงเวลาไหนสักช่วงหนึ่งนั่นแหละ ที่เกิดประกายไฟความรักในใจมัน และผมก็เพิ่งรู้นี่เองว่ามันยังหวังและคิดว่าผมยังชอบมันมาโดยตลอด
แต่อ้อยควั่น มันช้าไปเยอะเลย
เห็นแก่ตัวจังวะที่คิดว่ากูจะยังรอมึงอยู่
“ใจเย็นกันก่อนมึง” ไอ้โคล้งเดินมาแตะไหล่ผม
“ไม่มีอะไรให้ต้องใจร้อนอ่ะ” ปากพูดไป แต่รู้ตัวเลยว่าสายตาผมไม่ได้เย็นตาม
“สรุปมึงโกรธกูเรื่องอะไรกันแน่วะ เรื่องเบี้ยวกองหรือเรื่องกูบอกชอบมึง” ต้มโคล้งตาเหลือก
“แล้วแต่มึงจะคิดเลยว่ากูมีวิจารณญาณแค่ไหน” ไอ้โคล้งตาเหลือกกว่าเดิมอีก
“ไหนๆก็ไหนแล้ว กูบอกมึงตรงนี้เลยแล้วกัน”
“ว่า”
“ที่กูเบี้ยวกองมึง เพราะกูไม่อยากทำกองมึงพัง กูไม่ไหวที่จะเจอหน้ามึงเหมือนกัน กลัวทุกคนจะบูดกันหมดเพราะกูไปอยู่กับมึง และกูเองแหละที่เหี้ย แกงส้มไม่รู้เลยว่ากูเบี้ยวกองมึง กูโกหกเขาว่ามึงเลื่อนกองกระทันหัน แกงส้มไม่ผิดอะไรเลย”
พอได้ฟังแบบนี้…ก็รู้สึกยอมรับตัวเองขึ้นมาหน่อยหนึ่งเลย
ว่าก็โกรธแกงส้มที่สนิทกับอ้อยควั่นมากกว่าตัวเอง
“รู้ว่ากูผิด แต่ก็อยากให้มึงเข้าใจกูด้วยเหมือนกันวะ”
“อืม” ไอ้โคล้งเอามือปิดหน้าหนีโลกแล้วตอนนี้
เข้าใจแล้ว เข้าใจดี
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกับอ้อยควั่นจะกลับมาคุยกันได้อีกไหม อีกเมื่อไร เพราะเรื่องที่เราทะเลาะกันดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆ ก็พอจะอภัยให้กันได้ ไหนๆหนังของทุกคนเสร็จออกมาแล้ว ทุกคนก็เอาตัวรอดกันมาได้ แต่นั่นแหละมันมีเรื่องไร้สาระกว่านั้นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันส่งผลมาก มากกว่าทุกเรื่อง
“แล้วมึงอ่ะบอกได้ยัง”
เรื่องที่บอกใครไม่ได้ และไม่เคยคิดจะต้องบอกใคร อ้อยควั่นเป็นคนน่ารักน่าเอ็นดู รู้จักพูดคุยเข้ากลุ่มกับคนอื่น เป็นคนที่ใครๆ ก็ชอบแกล้ง เวลาไปเทศกาลหนังหรืองานฉายหนัง เรามักพบกันโดยบังเอิญแบบไม่ได้นัดกันมาก่อน และทุกครั้งเป็นผมที่จะแยกตัวเองออกจากกลุ่มอาจารย์และเพื่อนๆ จารย์เป้ง พี่เม่า แกงส้ม น้านน น้อยครั้งมากที่ผมจะไปกินข้าวกับพวกเขาหลังจากหนังฉายเสร็จ ด้วยเหตุผลแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในสถาณการณ์แบบพ่อรักลูกไม่เท่ากัน รู้สึกอยู่กับตัวเองตลอด
อ้อยควั่นคล้ายเป็นเด็กที่ถูกเลือกมากกว่าผม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแกงส้มเลือกผมทำไม ทั้งที่รู้ว่าผมไม่ได้ทำหนังที่เขาถนัด อ้อยควั่นเสียอีกที่พยายามจะทำหนังสารคดี หนังทดลอง หนังการเมือง การได้อยู่กับผู้กำกับสายคอนเซปชวลอาร์ต งานทดลองก็ดูจะเหมาะสมดี แล้วผมที่อยากทำหนังเล่าเรื่องครอบครัวมาอยู่ที่นี่ทำไม ยังสงสัยอยู่จนถึงวันนี้
ไอ้การที่ไปออกกองกันสองคนแล้วทิ้งกองผมในคิวสุดท้ายซึ่งถ่ายต่างจังหวัด เป็นคิวโหดที่สุดโดยไม่มีโปรดิวเซอร์จึงเป็นเรื่องที่ตอกลิ่มกลางหัวใจของผมอย่างแรง
ความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งคือสิ่งอันตรายที่สุดต่อความสัมพันธ์ แม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะอะไรกันจริงจังก็ยังอาจจะทำให้เพื่อน คนสนิท คนรู้จัก ห่างหายกลายเป็นแค่คนที่เดินสวนกัน เบี้ยวกองไม่ใช่แค่เรื่องเบี้ยวกอง บอกชอบไม่ใช่แค่เรื่องบอกชอบ ไปถ่ายหนังด้วยกันไม่ใช่แค่เรื่องหึงไม่หึง
นั่นแหละมั้ง เหตุผลที่ความสัมพันธ์มันถึงประกบคืนยาก
ขอโทษที่ให้มึงรู้ความจริงได้แค่ครึ่งเดียว ขอโทษที่ก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน
แต่บอกไม่ได้จริงๆ
“ไม่มีอะไรหรอกอ้อย”
แกงส้มจะอมไข่
“พี่เม่า สวัสดีครับ”
“เอ้า ไข่ตุ๋น”
“ผมดีใจนะที่พี่มา”
“อ๋อ มาดูหนังอ้อย”
“เฮ้อ”
พี่เม่าทำหน้าหยอกผมที่หน้าโถงโรงฉาย เหมือนจะรู้อยู่แล้วแหละว่าความสัมพันธ์ของผมกับอ้อยดูไม่เหมือนเดิม ดูไม่ค่อยดี ดูเปราะบาง และเมื่อผมทำหน้าหงิก แกก็หัวเราะอย่างพอใจ
“แล้วนี่ยังอยากเขียนบทอยู่ปะ”
“ตอนนี้ไปทำตัดต่อประจำละ แต่ก็ยังอยากอยู่นะพี่”
“ถ้ามีงานอะไรเดี๋ยวมาถามแล้วกัน ชอบเขียนละครไหม แบบหลังข่าวเลย”
“ก็น่าสนุกอยู่นะพี่”
“ไม่หรอก จิง เชื่อกู”
ถึงอย่างไรก็ตาม พี่เม่า ก็ยังเป็นอาจารย์ เป็นพี่ ที่ผมเองก็เคารพรักมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะความเก่ง ฉลาดและตลกของแก ทำให้เด็กๆที่ได้เรียนด้วยก็รักแกทั้งนั้น คนบ้าอะไรวิ่งบนลู่ในฟิตเนสไปด้วย อ่านหนังสือไปด้วยได้ แต่นั่นแหละ คนแบบพี่เม่าเท่านั้นที่ทำอะไรแบบนี้แล้วคนจะไม่สงสัย
ผมยังจำได้ดี ตั้งแต่ก่อนจะเลือกเมนเทอร์หรือที่ปรึกษาธีสิส อย่างไรก็คิดว่าคงได้อยู่กับพี่เม่าแน่ๆ และผมก็อยากจะยืนอยู่ตรงนั้นมาก และก็จำได้ดีด้วยว่าเมื่ออาจารย์เป้งประกาศว่าผมไม่ได้อยู่กับพี่เม่า ก็หน้าถอดสีแบบรู้สึกตัวได้ หลังจากนั้นก็ทรุดเข่าลงไปกองกับพื้นเมื่อรู้ว่าต้องไปอยู่กับ (อาจารย์)แกงส้ม
“เม่า หน้าซีดๆนะ จะเป็นลมหรือเปล่า”
มาแล้วไอ้พี่แคมป์ เดินอาดสะพายเป้เหี่ยวๆสีกากี พร้อมเสื้อยืดสีดำลายขวางที่ใส่ทุกวันเหมือนหลังบ้านเป็นโรงงานผลิตอีเสื้อลายบ้านี่อย่างเดียว เดินเข้ามาก็ชาร์จพี่เม่าแล้วเอาเลย
“ไม่ได้เป็นค่ะ” พี่เม่าหันตอบด้วยอินเนอร์นางร้ายช่องแปด
“แล้วเป็นอะไรคะ”
ผมรอลุ้นจังหวะหลังแอคติ้งตาใสใจซื่อของพี่แคมป์
“เป็นกะหรี่”
“55555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555555”
เสียงหัวเราะของพวกเราดังลั่นกับมุกที่ถูกเล่นมาตั้งแต่เมื่อคืนในสเตตัสเฟสบุ๊คของพี่เม่า คนรอบๆ มองพวกเราเป็นตาเดียว แต่แวบเดียวก็ไม่มีใครสนใจพวกเราอีก
“เม่า มึงเขียนไดอะล็อกนี้ลงไปใบบทจริงหรอ”
“ในมุมลับหนึ่งของหัวใจก็อยากเขียน แต่ก็เอ๊ะจะดีหรอ”
“มึงเขียนเลย กูชอบมาก”
“เออ ดีจริงพี่ เป็นผม ผมก็เขียน”
“ที่กูชวนมึงเมื่อกี้ ถือว่าไม่ได้พูดแล้วกันนะ”
“โถ่ พี่เม่า”
ผมแกล้งทำหน้างอน
“ไข่ตุ๋น เห็นไอ้จิวไหม” พี่แคมป์ถามผม
“คงอยู่โซนดูดบุหรี่แหละพี่”
“เดี๋ยวไปหามันหน่อย เซ็งสัด รีบมาแล้วก็ยังไม่ทัน”
พี่แคมป์หัวเสียเพราะคงรีบมาดูหนังแอดไวซีตัวเองแต่ไม่ทัน
“กูไปด้วย มึงมีไฟแช็กไหม”
“มีๆ ไปดิ”
พี่เม่ากับพี่แคมป์ผลักประตูออกไปตรงโซนสูบบุหรี่
วันนี้เป็นวันที่ประหลาดดีจริงๆ
วันที่เราต้องฉายหนังที่เราทำให้ทุกคนดู
แม้ว่าเราจะเจอกันบ่อยครั้งเวลาไปเทศกาลหนังทั้งเล็กทั้งใหญ่ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหน ในเมื่อมันเป็นหนังของตัวเอง แม้ว่าพี่เม่าที่อยู่ตรงหน้าจะเห็นพัฒนาการของมันมาตั้งแต่เป็นตัวอ่อน จนวันที่นี้ที่มันคลอดออกมาเป็นตัวเป็นตน ก็ยังเขินมากอยู่ดี
ยอมรับเลยว่าการทำหนังออกมาสักเรื่องแล้วต้องมาฉายให้คนดูเนี่ย เป็นเรื่องน่ากระดากอายอยู่ไม่น้อย การที่เราขุดชีวิตช่วงหนึ่งที่อาจไม่มีใครรู้หรือไม่ค่อยมีใครสนใจจะรู้มาถ่ายทอดเป็นหนัง มีตัวละคร มีเนื้อเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา ความรู้สึกมันไม่ต่างจากการแก้ผ้าหน้าสาธารณชนเลย
แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ผมเองรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด ตั้งแต่ส่งเล่มวิทยานิพนธ์ฉบับสุดท้าย เราทุกคนก็หายหน้ากันไปสามสี่เดือน บางคนก็กลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่จังหวัดของตัวเอง บางคนก็หางานทำอยู่ในเมือง บางคนก็ออกเที่ยวรัวๆ เพื่อชดเชยความเครียดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และอย่างผมเองที่ได้งานทำไปแล้วด้วยคอนเนคชันตั้งแต่ฝึกงาน
ทุกคนต่างมีวิถีของตัวเอง
วันนี้ที่กลับมาเจอกันมาเลยพิเศษและประหลาดในทีเดียวกัน
เมื่อไรจะมานะ
“รอบต่อไปจะเริ่มแล้วนะคร้าบบ วางแก้วน้ำไว้ด้านนอก ถอดรองเท้าไว้หน้าประตูนะครับ”
“เข้าไปสิ หรือรอใครอยู่”
“ฮะ?”
ผมหันไปมองเมื่อรู้สึกว่าเสียงนั้นพูดกับผม
“ผมรู้ว่าคุณกลัว แต่เข้าไปดูจะได้รู้ว่าฟีดแบคเป็นยังไง”
“สวัสดีครับอาจารย์แกงส้ม”
“อ้อยอยู่ข้างในแล้วฮะ มันน่าจะรออาจารย์อยู่”
“เห้ย ผมคุยกับคุณอยู่นะ สรุปจะเข้าไหม”
“ผมดูหลายรอบแล้วอ่ะ”
“เข้าไปดูเถอะ ผมดูด้วย ดูหลายรอบแล้วเหมือนกัน”
“แต่…”
“หนังอ้อยค่อยเดินออกก็ได้ ยังไม่ดีกันใช่ไหมละ”
“ทำไมรู้ดีจัง” ผมหลุดปาก แกงส้มอึ้งไปแวบหนึ่ง
เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่ดันหลังผมเข้าไปในห้องประชุม ก่อนเขาจะเดินไปถอดรองเท้า เมื่อเห็นว่าผมหยุดรอ เขาก็เดินมากดดันข้างหลังให้ผมเดินเข้าไปจนแล้วจนรอด
ประตูปิด ไฟหรี่ลง แกงส้มเดินเลาะเข้าไปนั่งกับพวกอาจารย์ด้วยกัน ส่วนผมก็นั่งลงที่เก้าอี้หลังสุดเพราะว่ามันว่างอยู่ตัวเดียวเท่าที่ผมจะเห็นในความมืด หันไปก็เจอกับอ้อยควั่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว เราไม่ได้พูดอะไรกัน
หนังจะค่อยๆ ฉายเรียงไปทีละเรื่อง หนังของกล้วย ต่อด้วยเข้ม ตามด้วยหนังของผม ปิดด้วยอ้อยควั่น ระหว่างนั้นคั่นด้วยอินเตอร์มิชชันตลกไร้สาระที่พวกเราไปถ่ายกันแถวคณะเพื่อขึ้นชื่อเรื่องต่อไปก่อนฉาย
ภาพสองแฝดพี่น้องฉายขึ้นมา เด็กผู้ชายสองคนอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สุ่มเสี่ยงเหลือเกิน ใบหน้าทั้งคู่ใกล้กันจนแทบจะชิด แต่ก็ยังไม่เท่ากับความคุกรุ่นในใจที่ไม่มีกฎเกณฑ์สังคมใดจะห้ามไว้ได้ ไม่ถึงชั่วอึดใจริมฝีปากของทั้งสองคนก็พุ่งเข้าหากัน ดูดดื่มราวกับสัตว์ป่า เพลงแอมเบียนดังขึ้นคล้ายการเฉลิมฉลอง ภาพคืนเดือนแรมฟ้ามืด เด็กผู้ชายสองคน เขาหน้าตาคล้ายกัน อวัยวะเพศแบบเดียวกัน เขาอายุห่างกันไม่ถึงสองนาที และเกิดมาจากท้องแม่เดียวกัน พวกเขากกก่ายตะแคงหงายอยู่บนพื้นหญ้าในป่าใหญ่ เหมือนเป็นโลกสมมติที่เราจะทำอะไรก็ได้
หนังของเข้มทำเอาทุกคนพูดไม่ออก นับเป็นความกล้าหาญเหลือเกินที่ออกมาพูดเรื่องที่สังคมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความรักระหว่างพี่น้องแฝด แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยากและมีความเสี่ยงที่จะเป็นการกดขี่ล่วงละเมิดบรรทัดฐานทางสังคม แต่มันเกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นไปแล้วจริงๆ เสียงสะอื้นไห้ดังฟังชัดว่าไม่ได้มาจากไฟล์ฉาย แสงจากจอฉายพาดมาให้เงาตัวสั่นของเข้มอยู่ลางๆ และมือที่ลูบหลังอยู่ก็คือข้น แฝดและแฟนของมันนั่นแหละ
ไม่รู้ว่าโลกข้างนอกห้องมืดนี้จะรู้สึกอย่างไร เราเชื่อเพียงว่าที่นี่คือพื้นที่ปลอดภัย ในห้องนี้จะไม่มีใครทำร้ายมันเพียงเพราะสิ่งที่มันเป็น สิ่งที่มันทำ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย
แต่เราไม่จำเป็นต้องกระทืบกันให้ตายไปข้างหนึ่ง
ภาพมืดลง ตัวอักษรสีขาวทยอยไหลขึ้นข้างบน ทั่วทั้งห้องประชุมมีแต่เสียงปรบมือ และเสียงฮือฮาดังยาวนาน ผมเองก็หวังว่าการฉายหนังหรืออีกนัยหนึ่งคือการเปิดเผยเรื่องราวที่อัดอั้นภายในใจของเข้ม จะทำให้มันรู้สึกดีขึ้นและก้าวไปใช้ชีวิตต่อได้
ผมแอบเห็นว่าอ้อยควั่นก็น้ำตาซึมให้หนังของเข้ม
และผมก็เช่นกัน
ผมขยับแข้งขาแขน หมุนคอซ้ายขวาเล็กน้อยเพื่อเขย่าอารมณ์อึงอลจากหนังของเข้มออกไป เพื่อรอรับ หนังที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น “สัตว์ประหลาด” ของรุ่น
เธอสวย เธอเปรี้ยวและเธอก็ยืนเยี่ยวด้วย สายลับสาวสวยรับงานจ้างจากกรมตำรวจมาตามไล่ล่านักโทษหนีคดี เธอในชุดเดรสหนังแก้วสีแดงปราดเปรียวเข้าไปสืบเสาะเบาะแสว่า ไอ้โจรชั่วฉกาจฉกรรจ์นั่นอยู่แห่งหนไหน หน้าตาเป็นอย่างไร ระหว่างทาง เธอได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวพันกับเธอด้วยความเงี่ยนในคืนหนึ่ง แต่เธอกับเขาก็เจอกันบ่อยครั้งขึ้นจนแน่ใจได้ว่าไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเป็นแน่ งานที่ยุ่งยาก ความรักที่วุ่นวาย กลับเปิดเผยคำตอบที่เธอไม่เคยรู้และไม่คิดจะสงสัยว่า นักโทษที่เธอตามล่า…ทำความผิดข้อหาอะไร
ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังคม สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรากำลังบิดเบี้ยวไปทุกขณะ หนังของกล้วยก็เป็นหนึ่งในผลิตผลของการกลับขั้ว ดึงฟ้าต่ำทำดินสูง นี่เป็นหนังการเมืองแน่ๆ และเกี่ยวพันกันไปทั้งการเมืองระดับอัตลักษณ์จนถึงการเมืองระดับรัฐ
แม้ว่าจะรู้พล็อตอยู่แล้ว เพราะว่าก็พวกเรากันเองนี่แหละที่ช่วยกันทั้งสับ ทั้งโขลก เขย่าส่วนผสมต่างๆ ในบทที่ขาดๆ เกินๆ ของกล้วยให้ดูเป็นผู้เป็นคน แต่ก็ยังอดตื่นเต้นกับการกำกับที่ฉูดฉาด จัดจ้านของกล้วยไม่ได้ ก็ถือว่าต้องให้เครดิตมันจริงๆ นั่นคือในฐานะเพื่อน แต่ในฐานะคนดูหนัง นี่ก็นับว่าน่าตื่นเต้นสุดๆในฐานะที่มันเป็นหนังการเมืองจากมือของนักศึกษา
นาฬิกาของพวกเรากำลังเดินหน้าต่อ
ในขณะที่พวกเขาพยายามดึงเข็มกลับไป
เราต้องสู้กันอีกหลายยก
นี่เพิ่งจะเริ่มต้น
ผมกับอ้อยควั่นปรบมือเสียงดังจนรู้สึกเหมือนมือจะแตก เช่นเดียวกับเสียงกรี๊ดกร๊าดซึ่งดังขึ้นเพื่อส่งท้ายหนังที่ซ่องแตกที่สุดของวัน หนังซึ่งสบถคำหยาบสิ้นหยาบเปลืองที่สุด ใช้กระสุนและเลือดปลอมเยอะที่สุด และเป็นเกียรติให้ผู้กำกับที่จูนิเบียวที่สุดในรุ่น ดูจากที่มันยืนขึ้นมารับเสียงชื่นชมทั้งที่ไฟยังไม่เปิดก็ได้ แต่ก็เอาหน่ะ นี่คือช่วงเวลาของมันจริงๆ
กล้วย…มึงเก่งมาก เก่งมากจริงๆ
ผมเห็นพี่เม่าแอบยิ้ม
ใช่ ผมรู้ตัว
มันมาถึงแล้ว
ภาพที่คุ้นเคย ที่เหมือนเคยดูมาเป็นหมื่นรอบ อาจจะถึงแสนรอบในห้องนอนที่บ้าน บนโต๊ะทำงาน ในจอแลปท็อปที่ฝ่าฝันกันมาตลอดเกือบปีที่ผ่านมา ถึงเวลาที่ต้องยอมรับแล้วว่าหนังของตัวเองกำลังถูกฉายให้คนทั้งหมดในห้องนี้ได้ดู
มือผมกำลังสั่น เลยต้องพยายามจิกเข่าไว้ให้มันได้ที่ยึดเกาะ
อ้อยควั่นแอบมองหน้าผม
ภาพในหนังเล่าต่อกันไปเรื่อยๆ ภาพต่อภาพ ช็อตต่อช็อต คัทต่อคัท ซีนต่อซีน ผมไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้จะมีความรู้สึกอะไร มีเพียงแต่การโฟกัสอยู่กับตัวเอง เรื่องของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองเท่านั้น ผมแค่ปล่อยสถานการณ์ตรงหน้าให้มันเป็นไปอย่างนั้น และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจอะไร
แกงส้มบอกให้ผมเข้ามาดูฟีดแบคคน
แต่ผมไม่เห็นอะไรเลย
นอกจากความผิดพลาดของตัวเอง
ไม่ว่าในช่วงเวลาทำงาน คุณจะถี่ถ้วนกับมันแค่ไหน รอบคอบแค่ไหน ก็เหมือนน้ำซึมบ่อทราย มันไม่เคยพอ ยิ่งเมื่องานออกสู่สายตาของผู้คน คุณจะยิ่งค้นพบจุดบกพร่อง จุดผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นทั้งที่คุณดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วความรู้สึกอับอายและผิดหวังในตนเองก็จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และเกิดขึ้นใหม่ในฉับพลัน เป็นหมื่นครั้ง แสนครั้งหรือล้านครั้งในเวลาไม่นาน
ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น
นี่คือสัจธรรมของการทำงานศิลปะ
กูทำงานแบบนี้ออกมาได้ยังไง
จะไปสู้กับใครเขาได้
มึงแม่งห่วยแตก
ผู้ชมในห้อง
(เสียงหัวเราะ)
เสียงหัวเราะฮึมฮัมเพียงเล็กน้อยปลุกผมให้ตื่นจากความคิด เป็นเพราะไดอะล็อกของตัวละครที่ผมตั้งใจให้มันกวนตีนต่อโลกทั้งใบของมันที่กำลังจะล่มสลาย อารมณ์ตลกร้ายในภาวะที่ขมขื่นที่สุดของตัวละครทำให้คนดูในห้องนั้นสักคนสองคนหลุดขำออกมา
จริงหรอ?
มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ
อ้อยควั่นมองหน้าผม
และน้ำตาของมันก็อาบลงมาที่แก้ม
อ้อยควั่นเพียงแตะไหล่ผมเบาๆ น้ำตาก็ร่วงออกมา ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นคลอไปกับ ต้น ตัวละครเอกของผม โลกของต้นล่มสลายเมื่อรู้ว่ามันแบกสถาณการณ์ทั้งหมดไว้ไม่ได้ ครอบครัวก็พังทลาย ความสัมพันธ์ก็ไม่หลงเหลือซากเดน ความรู้สึกภายในก็แหลกเหลว อนาคตก็มืดดับจนมองไม่เห็นทางไป ส่วนผมมองเห็น เห็นแค่ความห่วยแตกของตัวเองเท่านั้น เราสองคนร้องไห้ประสานกันไปจนภาพตัดดำ ขึ้นเอนเครดิต
เสียงกีต้าร์อะคูสติคที่ผมเล่นเองคลอไปกับเสียงร้องไห้ของตัวละครที่ยังดังออกมา และมันจะไม่หยุดจนกว่าจะถึงบรรทัดสุดท้ายของชื่อทีมงาน อาจารย์ที่ปรึกษา
เสียงปรบมือทยอยดังขึ้นมาและดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ อ้อยควั่นเลื่อนมือจากไหล่มาวางบนมือของผม ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงแต่คลายเล็บที่จิกเข่าไว้
อ้อยควั่น
กูขอโทษ ที่ไม่ได้อยู่ทำงานกับมึง กูขอโทษจริงๆ
ผมไม่ได้ตอบอะไร
เพียงแต่มองตอบแกงส้มที่หันมามองผมโดยอาศัยแสงวับแวมจากจอฉาย
เขาปรบมือประสานเสียงไปกับผู้ชมที่เหลือทั้งห้อง
ไข่ตุ๋น
กูไม่ต้องการอะไรแล้ว แค่นี้พอแล้ว
เสียงปรบมือยังดังต่อเนื่องยาวนานจนแทบจะไม่มีใครได้ยินเสียงร้องไห้ในฟิล์มอีกต่อไป และมันก็ดังจนไม่มีใครได้ยินเสียงสะอื้นของผมด้วยเช่นกัน ผมฟุบหน้าลงกับเข่าแล้วปล่อยอารมณ์อย่างไม่อาย
ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ
มันมากเกินไป มากเกินกว่าที่เราควรจะได้รับ
อ้อยควั่น
มึงเก่งมาก เก่งมากๆ
อาจารย์เป้ง
ไข่ตุ๋น มึงเลิกร้องไห้ได้แล้ว!!
เสียงที่คุ้นเคยตะโกนมาจากที่นั่งอาจารย์ ผมเงยหน้าขึ้นมารับสายตาของที่ทุกคนที่หันมาตามทิศทางเสียง พลันเสียงปรบมือก็กลายเป็นเสียงหัวเราะทันที
อ้อยควั่น
เลิกร้องไห้แล้วมาดูหนังกูหน่อยเถอะ ถือว่าขอ
อ้อยควั่นละมือออกไปจากตัวผม เราสองคนเงยหน้ารับแสงจากจอพร้อมกัน อินเตอร์มิชชันกำลังฉายก่อนจะเข้าหนังเรื่องสุดท้ายของวันนี้
อ้อนควั่นล้มทุกอย่างทิ้งกลางทางเพราะเรื่องที่เคยพิชท์ไปในครั้งแรกๆ สตอรี่ของของอากงกับแม่นั้นเป็นเรื่องที่จริงและเจ็บปวดเกินไป ในระหว่างทางอ้อยควั่นค้นพบว่าตัวเองชอบสารคดี เลยเลือกที่จะสำรวจสิ่งรอบตัวในชีวิตด้วยสายตาแบบที่ต่างออกไป
บ้านสวนที่ดูสงบร่มเย็น มีเสียงไหวๆของใบไม้ ภาพคุณยายคนหนึ่งกำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ที่สงบ กล้องค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้หญิงชราคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเสียงหลังกล้องก็ถามคำถามคุณยาย คุณยายเป็นใคร อยู่ที่ไหน เคยทำอะไร เพื่อให้คนที่ไม่รู้จักเธอมาก่อนได้รับข้อมูลเบื้องต้น เธอมองกล้องด้วยสีหน้าแจ่มใสแต่ก็เจือด้วยความไม่มั่นใจตามประสามือใหม่หัดออกกล้อง มีบ้างที่เสียงของคนถ่ายพูดแซวคนในภาพตามประสายายหลาน
ยายเป็นจิตแพทย์ที่เกษียณอายุแล้ว
และเลือกกลับมาทำสวนเล็กๆ น้อยๆ ที่บ้านของตัวเอง
ภาพตัดไปที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน มานั่งคุยกับยายเรื่องชีวิต ความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้น ในห้องนั่งเล่นที่มีโซฟาเล็กๆ พอนั่งกันได้สองคน
“ไข่ตุ๋นนั่งให้สบายเถอะลูก ดูซิไหล่เกร็งไปหมดแล้วนั่น”
เด็กผู้ชายคนนั้นคือผมเอง
เป็นภาพของผมเล่าเรื่องความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของการทำธีสิส ความกดดันจากที่บ้าน พ่อที่เป็นโรคซึมเศร้าและความกลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องตกไปในเหวเดียวกันพ่อ โดยมีกล้องของอ้อยควั่นจับภาพเราทั้งคู่ มือของยายยังลูบหลังผมอยู่เป็นระยะในหนัง
และผมก็รู้สึกได้ว่าหลังอุ่นขึ้นเพราะมือของอ้อยควั่นก็กำลังลูบหลังผมอยู่เช่นกัน
ยายพาผมออกไปเดินคุยข้างนอกในสวน เด็ดใบไม้ใบหญ้าให้ชิม มีผักแปลกๆ มากมายในสวน ยายไม่ได้สอนอะไรผมนักและหนังก็ไม่ได้ตั้งท่าที่จะสอนผมและคนดูเลยแม้แต่นิด เพียงพาผมและคนดูออกไปเดินด้วยกัน คุยกันไปเรื่อยๆ และยายก็เพียงรับฟังและเสริมนิดเสริมหน่อย
“บอกว่าไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไอ้อ้อยมันทำตัวไม่ดีหรอ”
“เปล่าฮะ”
“ถ้ามันทำอะไรบอกยายนะ ยายอยากให้ไข่ตุ๋นนับมันเป็นเพื่อนซักคนเถอะ”
“ไข่ตุ๋นกลัวจะเป็นแบบพ่อ แล้วเราดูแลตัวเองได้ไหมตอนนี้ มีพ่อเป็นก็ดีนะ เราก็รู้จักโรคนี้ก่อนคนอื่น แล้วเรารู้ไหมทำอย่างไรไม่ให้เป็น ไอ้โรคซึมเศร้าเนี่ย”
ท้ายที่สุดของหนัง เป็นฟุตเตจที่ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหน เป็นสัมภาษณ์ยายเดี่ยวๆ ต่อเรื่องของผมและเรื่องของอ้อยควั่น ยายพูดถึงผมในสิ่งที่ยายรู้สึก เพียงแต่ไม่เห็นยาย เพียงแค่เป็นภาพหน้ากระจกรถที่ทะลุเห็นสภาพบ้านเมืองที่กำลังโศกเศร้าและน่าหดหู่
“ไข่ตุ๋น เขาคิดมาก อะไรนิดอะไรหน่อยเขาก็คิดแล้ว ทำตัวเป็นเหมือนไม่เป็นอะไร แต่จริงๆ แล้วเขาก็อ่อนไหวมาก อย่างเรื่องพ่อนี่คิดไม่หยุดเลย อ้อยดูสิ”
“ผมก็เห็นอยู่”
“อย่างอ้อยหน่ะมันไม่คิดอะไรเลย อะไรก็ง่ายๆ สบายๆ ไปหมด มันถึงคบกันได้ไง ใช่ไหม”
“ก็ไม่ค่อยได้แล้วนะหลังๆ อ่ะ 5555555”
“อยากคบเขาก็ต้องรู้จักเขาก่อน ใจเขาใจเรานะ”
“คร้าบ”
ในขณะที่มือวางบนไหล่ผม กลายเป็นอ้อยควั่นเสียเองที่น้ำตาไหล มันร้องไห้แบบเสียผู้เสียคน เรียกได้ว่าหลังจากถ่ายหนังของมันคิวนั้นเสร็จก็เกิดเรื่องขึ้นเลย เราไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียวหลังจากวันนั้น พอได้เห็นภาพเหล่านี้ม้วนกลับมาอีกครั้ง ผมก็อดคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นไม่ได้
คิดถึงยายของอ้อยควั่น
คิดถึงแกงหมูชะมวง
คิดถึงการพูดคุยในปลอบประโลมจิตใจนั้น
คิดถึงการไปออกกองกับเพื่อน
คิดถึงบทสนทนาแบบเพื่อนที่เคยมีกับอ้อยควั่น
นานมากแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน
“อาจารย์มาทำอะไรอ่ะ”
“มาถ่ายหนังไง”
“หนังผมหรอ”
“เปล่า หนังตัวเอง”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทั้งห้อง เพราะบนจอกลายเป็นภาพของอาจารย์แกงส้มที่แทบทุกคนในห้องนี้รู้จัก ภาพถ่ายใกล้หน้า เขายืนอยู่ในป่าโปร่งที่ไหนซักแห่งหนึ่ง
“พูดถึงไข่ตุ๋นกับผมหน่อย” เสียงของอ้อยพูดอยู่หลังกล้อง
“อ้อยควั่นก็น่ารัก ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง ผีเข้าผีออก แต่ก็ดีกว่าไม่ตั้งใจเลย”
แกงส้มพูดแล้วก็หัวเราะแหยๆ แหะๆ ตามสไตล์ หลังจากได้แหย่ลูกศิษย์หลังกล้อง
“ไข่ตุ๋นก็ตั้งใจมาก บางทีตั้งใจเกินไป ตั้งใจจนรู้สึกแย่ว่าไม่ค่อยได้ทำหน้าที่ตัวเอง ไม่รู้ว่ามันคิดว่าไม่ใส่ใจมันหรือเปล่า แต่ไม่นะ ก็ทำงานดีอยู่แล้ว ไม่รู้จะคอมเมนท์อะไร คอมเมนท์ตัวเองได้ด้วยซ้ำ ไปกันใหญ่เลยทีนี้”
“แต่รอดแหละทั้งสองคน ถ้าส่งหนังทันเวลา”
ผมตึงเบ้าตาอีกแล้ว เจอดอกนี้เข้าไป
คอมเมนท์ตัวเองนี่ของจริง วันคุยธีสิสครั้งหนึ่ง เรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟใกล้คอนโดของแกงส้ม เขารับเอาทรีตเมนท์และโครงบทไปนั่งอ่านเงียบๆ ที่มุมหนึ่งของร้าน ผมเองก็นั่งรอด้วยใจกระวนกระวาย เขากลับมาพร้อมกับคำพูดสบายๆ
“ไหนลองคอมเมนท์ตัวเองหน่อย”
เอาวะ เอาก็เอา ผมนั่งไล่คอมเมนท์งานตัวเองไปเรื่อยๆ แอบเห็นว่าเขาฟังอย่างตั้งใจ และจดคอมเมนท์ที่ผมมีต่องานของตัวเองลงไปในดราฟบทที่ยังไม่เสร็จดี จากซีนแรกถึงซีนสุดท้าย ไล่ครบทุกบรรทัด
“โอเค ก็ดีนะ ไปทำต่อเลย”
แค่นั้น
เขาพูดกับผมแค่นั้นในวันนั้น
เหมือนเรื่องทุกอย่างย้อนกลับเข้ามาช่วงเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ฟุตเทจทั้งหมดของอ้อยควั่นที่จับชนกันกลายเป็นภาพความทรงจำในห้วงหนึ่งที่มันเคยเกิดขึ้น ทั้งหมดมันทำให้ผมคิดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของผมกับอ้อยควั่น อ้อยควั่นกับแกงส้ม และตัวผมเองกับแกงส้ม
บางทีผมก็เผลอลืมไปแล้วเหมือนกันว่ามันมีคุณค่ามากแค่ไหน
ยิ่งคำที่แกงส้มพูดถึงผม เขารู้ดีจริงๆ รู้ดีไปหมด โดยไม่ต้องถามคำถามอะไรออกไปให้ตะหงิดใจ แต่แกงส้มสามารถตอบสิ่งที่คลายปมในใจของผมได้ แม้ว่าจะไม่เชื่อหูตัวเองนักว่างานตัวเองดีแล้ว แต่ผมเองก็ควรเคารพในความคิดของแกงส้มด้วยเช่นกัน ถ้าเขามองว่า (งานของ) ผมเองไม่ได้เลวร้ายอะไร
ขอบคุณที่เลือก
ขอบคุณที่สละเวลา
ขอบคุณที่ให้ได้ใช้เวลาเรียนรู้ “บางอย่าง”
ผมรวบอ้อยควั่นมากอดไว้ มันยังถล่มน้ำตาใส่หน้าอกของผม มือยกลูบหัวมันอัตโนมัติ ไม่ใช่แค่เรื่องของผมเท่านั้นหรอก แต่ยายของมันก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน
ชีวิตของเด็กที่ต้องเข้าเมืองกรุงเทพมาเพื่อเรียน เพื่อทำงาน เพื่อไล่ตามความฝันที่หาหนทางไม่ได้ในบ้านของตัวเอง ดาวทุกดวงต่างพุ่งเข้ามารวมแสงสุกสกาวในเมืองใหญ่เมืองนี้ แต่ภายในกลุ่มแสงนั้นยังมีหยดน้ำตามากมาย หลายคนที่ยังคงคิดถึงบ้าน คิดถึงคนที่บ้าน คิดถึงชีวิตที่ตัวเองจากมา และหวังลึกๆว่าถ้าเราเก่งพอ เราทำงานหาเงินได้มากพอ เราจะได้กลับบ้านอย่างที่เราฝัน บางทีเราก็ควรต้องถามเหมือนกันว่าเราควรต้องทุกข์ทรมานกันขนาดนั้นไหมและทำไม แค่เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดี
เพราะเส้นทางของหลายคนก็ห่างจากคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ไปไกลเหลือเกิน
ดูคล้ายจะเป็น “กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง” เสียมากกว่า
พูดให้ง่ายกว่านั้นคือ “อ้อยคงคิดถึงยายมาก”
ไฟทั้งฮอลล์เปิดขึ้น อ้อยควั่นผละตัวออกจากผมช้าๆ แต่ดูจะช้าเกินไป
“เห้ย มันกอดกันแล้ว”
“ไอ้เหี้ย ภาพประวัติศาสตร์”
“ตีกันมานาน ดีกันซักทีนะมึง”
“ไอ้เคน มึงถ่ายรูปไว้เลย”
แชะ
กลายเป็นอ้อยควั่นที่หน้าเบี้ยวไม่เป็นทรง ส่วมผมก็เหวอสัดๆ กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“น้องไข่ตุ๋น ชอบหนังมากนะ เก่งมาก”
“มึงงง แคสพระเอกเล่นดีมากกก น้องโท้บเล่นดีมาก”
“มึง หนังมึงทำกูตาเปียกเลย ไปหนังอีอ้อยกูยังมูฟออนไม่ได้เลย”
“พี่ไข่ตุ๋น หนังโคตรดี จริงๆ ผมร้องไห้ตั้งแต่ดูมอนิเตอร์ในกองแล้ว ไอ้ซีนสุดท้ายอ่ะ พอดูบนจอแม่งยิ่งอิมแพคต์ โคตรสุด”
“มึงยินดีด้วยยยย หนังมึงดีมาก แบบกูอยากทำได้อย่างมึงบ้าง ไอ้เหี้ยเอ้ย”
“น้องเอ้ย พี่อ่านบทเอ็งก็ร้องไห้ไปรอบนึงแล้ว เอ็งทำข้าเสียน้ำตาสองรอบแล้วนะเว้ย”
“มึงยินดีด้วยว่ะ แต้งกิ้วมากที่ชวนกูไปออกกองด้วย กองมึงโคตรดี กูได้อะไรเยอะมาก หนังมึงก็ดีมากด้วย ”
“มึงๆ ขอลิงค์หน่อย กูมาไม่ทัน”
“พี่ไข่ตุ๋น ขอบคุณที่ชวนโท้บไปเล่นนะ ชอบตั้งแต่อ่านบทแล้ว พี่ช่วยผมตอนเล่นเยอะมาก พอตัดต่อออกมาแล้วก็คิดว่าเล่นดีขนาดนี้ได้ยังไง สุดยอดมากพี่ ไว้มาทำหนังกันอีกนะพี่”
“ขอบคุณที่ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ เราดูแล้วอินมาก”
“จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะคะ หนังดีมาก ชื่นชมค่ะคุณผู้กำกับ”
หลายคนเดินเข้ามาแล้วโถมคำชื่นชมและความรักให้กับงานของผม รู้สึกละอายตัวเองเล็กน้อยที่ดูถูกงานของตัวเองไปขนาดนั้น คิดว่ามันคงไปไม่ได้ไกล ไม่มีใครรักมันหรอก ไม่มีใครชอบมันหรอก มันเป็นหนังส่วนตัวเกินไป มันส่วนตัวเกินจนคนจะไม่ชอบหนังเหมือนกับที่ไม่ชอบเรา
เข้มเดินมาตบไหล่ผม
“ที่มึงเคยบอกกูว่าทุกคนชอบงานมึงแต่ไม่ได้ชอบมึง ไม่จริงนะ กูยืนยันได้ ทุกคนชื่นชมมึงในฐานะคนทำหนังจริงๆ”
“มึงก็เหมือนกันนะ หนังของมึงจริงใจมากๆ กูนับถือมึงสุดๆๆๆ” ผมกุมมือไอ้เข้มมาเขย่าเบาๆ
“พวกเราก็จริงใจกันหมดนั่นแหละ ผ่านกันมาได้ขนาดนี้”
เข้มพูดต่อ
“เหมือนที่มึงเคยพูดกับกูตอนซ่อมบทไง ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยกับมึง แต่มึงแค่เชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูจะเชื่อในตัวมึงและไม่ทำร้ายมึง แค่เพราะเขาไม่เห็นด้วย วันนี้กูได้คำชมเยอะมาก แม้จะเป็นแนวอึ้งๆ ไปเลยก็เถอะ”
“ใครก็ช็อกหรือเปล่าวะหนังมึง”
“เดี๋ยวกูไปหาไอ้ข้นก่อน”
“เออ ไปเหอะ”
เข้มเดินออกไปจากตรงที่ผมยืน ผมปาดน้ำตาที่เพิ่งไหลออกมาเมื่อครู่ทิ้งไปเสีย
“ไข่ตุ๋น ภูมิใจในตัวเองได้แล้วนะ เลิกนอยด์ได้แล้ว”
“ขอบคุณครับอาจารย์เป้ง”
เป็นอาจารย์เป้งเจ้าเก่าเจ้าประจำที่คอยซัพพอร์ตนักศึกษาทุกคนอย่างสม่ำเสมอ แกเป็นเหมือนน้ำใสไหลเย็นที่คอบปลอบประโลมจิตใจพวกเราเสมอในวันที่ยาก ตัวแกเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่เราต้องเจอมันโหดแค่ไหน ขอแค่รับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี อาจารย์เป้งก็พร้อมที่จะโอบรับเสมอ (แต่ถ้าไม่รับผิดชอบตัวเองก็เตรียมเจอของจริง)
“ชั้นเห็นแกดีกับอ้อยควั่นได้ก็สบายใจ กอดกันกลมเชียว”
“ก็มันร้องไห้เป็นบ้าอยู่ จารย์จะให้ผมทำไง”
“เอาหน่ะ ตอนแกร้องมันก็ปลอบ เพื่อนกันก็ช่วยๆ กันไป”
“ไม่ได้ยินคำว่า เพื่อน นานมากเถอะ”
“สบายใจไหมหล่ะ อ้อยมันถ่ายซีนนั้นแถมมาให้แกเลยนะ มันบอกชั้นตอนดูรอบฉาย”
“หรอครับ”
“พอแกงส้มรู้ว่าโดดกองมา อีอ้อยก็โดนแกลุยเละเลย 5555555555”
ผมไม่ได้ตอบอะไรอาจารย์เป้งกลับไป จนแกเดินไปแสดงความยินดีกับคนอื่นที่ฉายหนังแล้วและคนที่รอฉายหนังในวันรุ่งขึ้น พี่ลุงเริ่มเกณฑ์น้องปีสองมาเคลียร์สถานที่ก่อนปิดหอศิลป์ ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องอพยพมาซาบซึ้งกันต่อด้านหน้าโถงห้องประชุม
“เป็นไงคุณ พอใจฟีดแบคไหม”
“ก็โอเคอยู่ครับ อาจารย์แกงส้ม”
“แค่โอเคหรอ ตาคุณยังแดงๆอยู่เลย”
จะปิดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วสินะ
“หลายคนก็ชอบฮะ ก็รู้สึกดี”
“ดีแล้วหล่ะ อย่าลืมคิดเรื่องส่งหนังไปต่อที่อื่นนะ”
“อ่าครับ”
“ถ้าไม่มีเงินสมัครบอกได้เลย เดี๋ยวผมทำเรื่องกับคณะให้”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วไข่ตุ๋น…เอิ่ม…ทำงานอะไรหรือยัง”
“ก็เริ่มทำตัดต่อแล้วครับ ทำกับพี่เพียวต่อจากฝึกงานเลย”
“ดีละ ได้งานประจำทำก็ดี สบายใจละ”
“แล้วเดี๋ยวไปไหนต่อ”
“แล้วหนังอาจารย์เป็นไงบ้างครับ”
ผมกับแกงส้มพูดชนกันพอดี เราทั้งคู่เลิ่กลั่ก เป็นอาจารย์แกงส้มที่ตอบคำถามของผมก่อน
“ก็ตอนนี้ทำโพสต์เสร็จอะไรเรียบร้อย เตรียมฉายเปิดที่…เอิ่ม…รอตเตอร์ดามก่อน ผมยังไม่รู้ว่าจะได้ไปไหม ติดไอ้โควิดเนี่ย เดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิด วัคซีนก็ยังไม่ไอ้นั่น ใช่มะ”
“แล้วจะได้ฉายไทยไหมฮะ ผมอยากดู”
“กำลังคิดอยู่หน่ะ เพราะถ้าโดนได้ฉายโรงสองโรง ผมอาจจะไม่…อืม…ฉาย”
“นี่ผมต้องบินไปดูจริงๆ หรอ”
“ผมยังไม่รู้ตัวเองจะได้ไปหรือเปล่าเลย 555555555555555”
เราสองคนหัวเราะแกนๆ ให้กับชะตากรรมของตัวเองที่มาทำงานและเติบโตในสายอาชีพกับยุคโรคระบาดและมีรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่เพื่อพวกเรา
“แล้วคุณไปไหนต่อ”
“เดี๋ยวคงไปกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ ครับ”
“งั้นผมกลับแล้ว โชคดี”
“โชคดีเหมือนกันครับ”
ผมมองแผ่นหลังกว้างในเสื้อยืดสีดำของเขาห่างออกไป สองขาในกางเกงขายาวเข้ารูปสีดำก้าวจากตรงที่ผมยืนอยู่ หลังสะพายกระเป๋าเป้ค่อยๆ หายไปในผู้คน ผมยกฝ่ามือขึ้นมาทาบอก แรงสั่นสะเทือนส่งออกมาถึงมือจนน่ากลัว
เหมือนความรู้สึกข้างในมีต่อแกงส้มเป็นการตกหลุมรักอีกครั้งแล้วอกหักในทันที แล้วก็ตกหลุมรักใหม่จนอกหักอีกที ดอกไม้ในใจบานแล้วเฉาอย่างต่อเนื่อง ซ้ำไป ซ้ำมา ซ้ำมา ซ้ำไป เป็นร้อย พัน หมื่น แสนครั้งตลอดเวลาที่ยืนต่อหน้าเขา ได้พูดคุยกัน สัมผัสความรู้สึกในน้ำเสียง เห็นหน้าตาที่คุ้นเคยแต่กลับสดใหม่ในความทรงจำเสมอ
โชคดี
ความสัมพันธ์ของเราสองคนอาจจะเป็นเรื่องโชคดีที่สุดแล้วที่มันเกิดขึ้นในจุดที่พอดี พอเหมาะ น้อยกว่านี้ไปก็คงเจ็บปวด เกินกว่านี้ไปก็เปราะบางมาก ผมไม่รู้ว่าแกงส้มรู้ถึงสิ่งที่ผมคิดและรู้สึกจริงๆ หรือไม่ เพราะผมไม่เคยบอก ไม่กล้าที่จะบอก และไม่จำเป็นต้องบอก แต่มันดีแล้วที่เป็นแบบนี้
ผมหวังแค่ทุกครั้งเวลาเราเจอกัน เราจะยังคงถามไถ่กันแบบนี้ ผมจะยังได้ยินเสียงของเขา นานๆ ครั้งที่หน้าโรงหนัง โถงคณะ ร้านกาแฟใกล้คอนโด สวนสาธารณะที่เราเคยวิ่งไปคุยธีสิสกันไป หน้าโรงเรียนสอนเทควันโดที่เคยไปดูด้วยกัน หรือร้านอาหาร Dining ลอยฟ้าที่เรายังไม่มีโอกาสไปกินด้วยกัน และคงจะไม่มีโอกาสอีกนาน ผมหวังว่าเราจะยังพูดคุยกันทุกครั้งที่ได้พบเจอ หวังว่าจะยังได้เห็นได้ดูงานของเขา งานศิลปะที่เล่าความรู้สึก ความคิดของเขาออกมา เพื่อที่ผมจะได้ทำความรู้จักเขามากขึ้นอีกเรื่อยๆ ทีละเล็ก ทีละน้อยก็ยังดี
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
ผมจะยังชอบเขาอยู่เสมอ
แม้ว่าจะต้องอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม
แกงส้มจะอมไข่
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง
ฮะ ฮาฮาฮ่า
ต๊อก แต๊ก แต๊ก แต๊ก
จ๊อก จ๊อก จ๊อก ซ่าาาา
กึ้ง กั้ง กุบ กับ
หวือๆๆๆๆ
ไข่ตุ๋นหลับตาลงเพื่อให้หูฟังเสียงได้ชัดเจนขึ้น ให้ร่างกายได้สัมผัสลมที่พัดผ่านไป พื้นหญ้าที่รองรับร่างกายของตัวเองอยู่ เสียงใบไม้ไหว เด็กน้อยวิ่งเล่นกัน เด็กมัธยมเล่นบาสอยู่ด้านหลัง นักวิ่งกำลังเทน้ำล้างหน้าล้างตา
เขาอยู่ในชุดพนักงานออฟฟิศเต็มยศ บรีฟเคสหนังสีเข้มกองอยู่ข้างตัว ทั้งแขนและแข้งขายืดเหยียดสุดข้อ สูดหายใจเข้าลึกๆ เอาอากาศบริสุทธิ์ในสวนสาธารณะที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนนานให้เต็มปอด
เวลาผ่านไปนานนับจากที่เรียนจบมา ในระหว่างทางนั้นเกิดเรื่องราวขึ้นในชีวิตของเขามากมายที่ทำให้เจ็บปวด เสียใจ อกหักครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่กับคน แต่เป็นความฝันที่เคยวาดไว้
ออกจากบริษัทตัดต่อเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมบริษัทได้
รับงานเขียนบทละครหลังข่าว แต่ก็ไม่สามารถเขียนได้ถึงมาตรฐานจนโดนยกโปรเจกต์
เขียนบทให้เว็บซีรีส์ เขียนได้ดี แต่ก็โดนยกโปรเจกต์ทิ้งไปเพราะออกกองถ่ายไม่ได้
สวัสดิการกองถ่าย อาร์ตไดเร็กเตอร์กองโฆษณา ผู้ช่วยกำกับสอง รันเนอร์
งานเหล่านี้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เงินกลับไม่ไหลตามมา วางบิลค้างอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้
สัมภาษณ์งานบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติแห่งหนึ่ง แต่ไม่ผ่าน
ทำงานพาร์ทไทม์ร้านกาแฟ
พลังแห่งความเยาว์วัยและไฟแห่งความฝันของเขาถูกใช้หมดภายในปีสองปี ชีวิตของเขาในตอนนี้เลือกที่จะจบลงกับตำแหน่งพนักงานฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนพออยู่ได้ งานไม่ยากแต่ก็เยอะอยู่บ้าง มีเวลาหยุด เวลานอน เวลาตื่นแน่นอน แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะทำสิ่งนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ เขาไม่ได้คะเนไว้ก่อนเลยว่าเขาจะต้องอกหักจากอาชีพที่รักจนทนไม่ไหวจริงๆ
“มาที่นี่แล้วก็คิดถึงแกงส้มเหมือนกันนะ”
แกงส้มยังอยู่ในใจของเขาเสมอ มันติดค้างอยู่ในใจนานมากพอกับความฝันที่เคยมี ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับแกงส้ม ช่วงเวลาของการทำธีสิส ทำหนัง เล่าเรื่องที่ต้องการจะเล่าได้อย่างใจ ช่วงเวลาแห่งวัยหนุ่มสาวที่เปี่ยมด้วยพลังงานและความตั้งใจ แม้จะขาดประสบการณ์อยู่บ้าง แต่มันก็สนุกและได้ปลดปล่อยความคิด อุดมการณ์อยู่ไม่ใช่น้อย
ช่วงเวลาเหล่านั้นในชีวิตของไข่ตุ๋น
มี “อาจารย์แกงส้ม” อยู่กับเขาด้วยเสมอ
มือล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาดูแจ้งเตือน เขาอ่านนิยายค้างไว้ มันเตือนว่ามีตอนใหม่อัพเดทแล้ว เขานึกอิจฉาลึกๆ กับคนที่ยังสามารถทำงานเขียนได้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่ามันจะหาเงินได้หรือไม่ได้ การเขียนบทและทำหนังก็เป็นสิ่งที่เขาเองก็ยังรักมันอยู่เสมอ ไม่มีวันไหนเลยที่อยากจะเลิกทำ ไม่มีเลย
แม้แต่นิยายที่อ่านก็ยังวนเวียนเกี่ยวภาพยนตร์ เอกฟิล์ม การทำหนังที่เขายังคงคิดถึงอยู่เสมอ
“ถ้าคิดถึงมาก ก็เขียนถึงเลยไหม”
นับเป็นจดหมายรักที่เขามีต่อภาพยนตร์ การทำหนัง การดูหนัง บรรยากาศในห้องเรียน ห้องพรีเซนต์ธีสิส โลเคชั่นกองถ่ายที่สุดจะวายป่วง ตารางถ่ายที่เบียดบี้กันจนแทบไม่มีเวลาจะนอน ความสัมพันธ์ของเพื่อน คนที่เรารัก คนที่เราหมั่นไส้ คนที่เราไม่เข้าใจ และคนที่เรารู้ว่ามันเข้าใจเราที่สุด เรื่องราวของคนที่ร่วมทางกันมาในเวลาที่พวกเราทุกคนได้โอกาสเติบโตอย่างดีที่สุด
“อาจารย์ไทกิแล้วกัน ไม่อยากออกชื่อจริง”
FIN
จบแล้ว จบสักที ทิ้งไว้นานมาก หลังจากสามปีผ่านไปไม่ได้คิดเลยว่าจะกลับมาแต่งต่อ เคยคิดจินตนาการถึงตอนจบไว้เหมือนกันว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ที่เขียนออกมาตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอย่างคิดที่เคยคิดไว้ขนาดนั้น แต่ตอนนี้ก็พอใจกับมันมาก อาจจะใช้คำจบเรื่องสวยๆ เหมือนคนอื่นไม่ได้ “ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ” เพราะไม่ได้แต่งต่อเนื่องเหมือนกัน 55555555 แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยากขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ให้ความสนใจฟิคเรื่องนี้ในตอนแรกก่อนที่มันจะหายไป และยังคงมีหลายคนที่คิดถึงหลังจากที่แอบปิดฟิคในจอยลดาไปอย่างเงียบๆ ขอบคุณทุกคนจริงๆค่ะ จากใจเลย เจอกันเรื่องหน้า
ความคิดเห็น