forget me not (อย่าลืมฉัน)
- fcukingmontage

- 9 พ.ย. 2019
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 7 ก.ย. 2022
PAIRING: Thanathorn J. x Piyabutr S. HASHTAG: #fcukstories
NOTE:
This writing is inspired by true events. However, some of the characters, names, certain locations and events have been fictionalized for dramatization purposes. Accordingly, any similarity to any real person or event may be purely coincidental and unintentional.
(1)
เอกไม่ได้กลับมาที่ห้องนี้เป็นยี่สิบปี
แม้ว่าส่วนกลางคอนโดจะจำใบหน้าเขาได้อย่างดี เพราะเขาเองก็เข้าออกห้องที่หอพักนี้เป็นประจำ ไม่สิ ต้องใช้คำว่าเคยมากกว่า เขาทักทายอยู่คำสองคำ เหมือนชายวัยกลางคนค่อนชราคนนั้นไม่ได้อยากจะโอภาปรารภกับเขาเท่าไร นับตั้งแต่วันที่เขาคิดว่าคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก เอกไม่ได้กลับมาที่นี่นานเหลือเกินเพราะการทำใจมันยาก
แต่เพราะวันนี้เอกไม่รู้จะไปตามหาได้ที่ไหนอีก
เขาเลยต้องมาที่ที่ป๊อกจะอยู่เสมอ
เปิดประตูก้าวเข้าห้องไปโดยใช้กุญแจที่เก็บเอาไว้ มันไขได้ยากอยู่สักหน่อยเพราะคงไม่มีใครกลับมาหยอดน้ำมัน ประตูมีรอยกระแทกเล็กน้อย เอกเปิดประตูเข้าไป มือที่กำหนังสือและซองจดหมายเริ่มชื้นเมื่อกลิ่นที่คุ้นเคยไม่ว่ามันจะมาจากภูมิกายภาพของห้องจริงหรือเป็นการผิดพลาดจากสมองก็ตาม (เพราะสมองต่างหากที่ดมกลิ่น ไม่ใช่จมูก) แต่เหมือนป๊อกยังอยู่ที่นี่จริงๆ เหมือนเขาอยู่มาเสมอ
เพราะหนึ่งห้องนี้เป็นห้องที่ซื้อขาด ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของที่นี่ได้นอกจากเขา และสองคือด้วยชื่อของเจ้าของห้อง คงไม่มีใครอยากย่างกรายเข้ามายุ่งถ้าคุณเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่มีหน้าที่อะไรพิเศษ ทำให้ในห้องนี้แทบสภาพไม่เปลี่ยนไปเลย ป๊อกยังรักษาห้องนี้ไว้อย่างดีไม่ว่าด้วยวิธีทางใดก็ตาม
ซึ่งมันทำให้ผมทำใจได้ยากนักเวลาที่ต้องละเอียดเท้ากับไปกับพื้นทีละตารางนิ้ว มันเหมือนเดิมจนน่าตกใจ และน่าสะพรึงกลัวบ้างนิดหน่อย
ผนังห้องสีขาวหม่นยังติดรูปของทั้งคู่และทั้งคู่กับเพื่อนๆ สมัยเรียน ป๊อกเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ส่วนเอกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ทั้งสองคนเจอกันช่วงปีหนึ่งช่วงทำกิจกรรมชมรมด้วยกัน น่าแปลกหรือไม่น่าแปลกไม่รู้ที่เขาทั้งคู่ต่างมีความสนใจร่วมกันมากๆ หรืออาจจะเป็นเทรนด์ของนักศึกษาในธรรมศาสตร์ตอนนั้นที่มักจะสนใจการบ้านการเมืองเป็นพิเศษ
แค่เห็นรูปเหล่านั้น ก้อนสะอึกก็มาจุกที่คอ ยิ่งลากสายตาไปที่โต๊ะ ยังมีเครื่องพิมพ์ดีดวางอยู่ มันวางอยู่เสมอ ป๊อกมักจะพิมพ์อะไรต่อมิอะไรค้างทิ้งไว้ แน่นอนว่าต้องมีหนังสือกางเปิดข้างเคียงด้วย แม้ตอนนี้จะเหลือเพียงนิตยสารดาราบันเทิงและคุ๊กบุ๊กสอนทำอาหาร แต่เอกยังจำได้ว่าอะไรที่หายไป ดาสแคปิตอล แมดเนสแอนด์ซิวิลไลเซชั่น ฟ้าบ่กั้น หยังว่าให้ห่างกัน (ขอยืมคำสร้อยจากเพื่อนอีกคนหนึ่ง) รวมถึงโฉมหน้าศักดินาไทย มันเคยอยู่บนโต๊ะ
เอกทิ้งตัวลงบนเตียงนอน กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่คุ้นเคย ไม่มีหรอก มันผ่านเวลาไปนานเนิ่นเกินไปที่จะคงรักษาความรักสะอาดของป๊อกเอาไว้ แต่ถึงไม่มีอะไรมาลั่นไกนำ เอกก็ยังเรียกขานความทรงจำเก่าๆกลับมาจนได้ เรื่องเล่าที่เราต่างเคยพูดคุยตอนเมาเหล้าขาวจากใต้ถุนตึก บ้าฉิบหาย ต้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อขวดแสงโสมเข้าไปแดกใต้ถุนตึกท้าทายอาจารย์ บ้าฉิบหาย
ไอ้ป๊อก แม่งบ้า
บ้าฉิบหาย
เอกผลอยหลับไป ตื่นมาอีกทีก็มืดค่ำเข้าไปใหญ่แล้ว มือควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง เอกเดินออกไปยืนที่ระเบียง พ่นควันผุยๆ เอกดูดตัวแล้วตัวเล่า ขยี้ก้นบุหรี่ที่พื้นรองเท้าตามนิสัย เพิ่งจะสังเกตจากนาฬิกาข้อมือเรือนทองว่านี่เที่ยงคืนแล้ว เอกเหม่อมองบนท้องฟ้ามืดสนิท
ตอนนั้น ก่อนเช้าวันนั้น เราทำอะไรกันอยู่วะ เอกเริ่มถามตัวเองในใจ บันทึกจากทางการอาจช่วยให้คำตอบตามเรื่องเล่าหลักของรัฐ แต่สำหรับประสบการณ์ส่วนบุคคลดูท่าจะกำลังเลือนหายไปตามกาลเวลา เวลาอาจจะช่วยให้ใครลืมอะไรได้ที่เป็นข้อเท็จจริงเล็กน้อยๆ สิ่งใดที่ดูสามัญธรรมดามักไม่ถูกจดจำ แต่ความรู้สึกที่เป็นแผลสด ลึกและกรีดยาว มักใช้เวลาเยียวยานาน
แต่เท่าที่จำได้ก็อีกไม่นาน
ตีสองก็เริ่มแล้ว
เอกสูบเอาควันบุหรี่เข้าปอดจนเหมือนคอแห้งผาก แห้งจนต้องกระแอมแล้วกลืนน้ำลาย เขาหลับตาลง ความรู้สึกในลำคอเหมือนพากลับไปในวันนั้นอีกครั้ง วันที่เขาตะโกนจนคอแหบคอแห้งอยู่สองชั่วโมง ในช่วงเวลาที่แทบไม่คิดอะไร หรือจะเรียกว่าคิดไม่ออกก็ได้ แต่แค่ต้องพูดอะไรก็ได้ อะไรก็ได้ ให้เพื่อนยังรู้สึกว่ามีคนอยู่บนเวที
การตะโกนสู้กับเสียงฝูงชนที่ตะโกนสาปแช่งมันยาก
และยากยิ่งกว่าเมื่อเสียงปืนเริ่มระดมเข้ามา
ในเวลานั้นป๊อกไม่ได้อยู่ในสายตาของผม เอาเข้าจริงสายตาแทบมืดไปหมดแล้ว มือกุมไมค์แน่น คิดแต่ว่าจะต้องตะโกนอะไรออกไปเผื่อใจหวังไว้ให้เขาหยุดยิง ผมตะโกนย้ำๆเหมือนคนบ้า หยุดยิงเถอะครับ เราชุมนุมอย่างสันติ เราไม่มีอาวุธ อยู่บนเวทีนั้น
จนมีคนตะโกนว่ามีนักศึกษาถูกผูกคอลากอยู่ในสนามฟุตบอล
สนามที่ป๊อกชอบลงไปเตะอยู่ทุกวี่วัน
ผมจำป๊อกได้ ผมจำเขาได้แน่ ป๊อกที่มักจะทำงานอยู่เบื้องหลัง คอยหนุนหลังทุกคนในทุกกิจกรรม ผมควรจะมั่นใจได้ว่าป๊อกยังอยู่ในตึกกิจกรรม และคอยวิ่งขึ้นลงตึกเพื่อตรวจว่ายังมีใครอยู่ข้างในและคุ้มกันเพื่อนนักศึกษาในตึกให้หนีรอดปลอดภัยออกมาได้ เขาควรจะวิ่งไล่ไปจนถึงตึกนิติเพื่อขนส่งเพื่อนที่บาดเจ็บในกองเลือดออกมา แต่ทำไม ทำไม
ผ้าฝั่นเป็นเกลียวรัดคอ มือชายเสื้อขาวนายหนึ่งกำปลายผ้า ทั้งลากทั้งดึงทั้งทึ้งให้ร่างกายที่ไม่แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ไปตามสนามฟุตบอล คางเหินขึ้นตามแรงตึงเชือก แขนสองข้างทิ้งลงหมดแรงฝืน ปล่อยหลังไหลไถไปกับพื้นหญ้า ถูกห้อมล้อมด้วยคนหลายคนที่ในมือถือไม้ตะบอง แต่ในมือของเขาไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลย
น้ำตาไหลออกมาคล้ายไม่มีแรงฝืน ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท้ายที่สุดก็ค้นพบความจริงว่าผมหนีอะไรไม่ได้เลย ยิ่งวิ่งยิ่งคล้ายหนีเงา เงามืดไล่ตามเป็นผี ผีซึ่งเกิดขึ้นเพราะร่างกายทึบแสง เพราะมีเลือดเนื้อหัวจิตหัวใจ แม้ว่าสมองจะทำงานกระพร่องกระแพร่งจนน่าโมโห ความทรงจำขาด ๆเกิน ๆที่ไม่เคยน่าไว้วางใจยิ่งวิ่งวนตามหลอกหลอนอยู่เป็นหลักสิบปี
แม้ว่าจะหนีไปอังกฤษ
แม้ว่าจะเดินอยู่ที่กรีนวิชพาร์ค
ภาพสนามหญ้าที่ไม่รู้แน่ว่าสีเขียวหรือสีแดงยังคงทาบทับ เวลาผ่านไปนานเท่าไรจากสิ่งที่ผมเห็นก็ออกจะลางเลือน แต่ผมวิ่งหนีออกมา วิ่งอยู่อย่างนั้น วิ่งผ่านบ้านก็มีเสียงตะโกนว่าอย่าเข้าไป วิ่งต่อไป วิ่งอยู่อย่างนั้น โชคดีที่มีคนบุ้ยใบ้รายทางให้เอาชีวิตรอด ผมกระโดดลงแม่น้ำ ลัดเลาะใต้ชานริมน้ำจนเสียงกระสุนปืนสาดลงมา
ผมนอนอยู่ข้างฝั่งแม่น้ำ เพื่อนข้าง ๆ เอาแขนกดหัวผมไว้ แค่นั้น
ผมไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความรู้สึกเดียวกับที่รู้สึกอยู่ตอนนี้
ทำไมผมไม่ตายอยู่ข้างในนั้น
ทำไมผมถึงไม่อยู่ร่วมประสบชะตากรรมเดียวกันกับป๊อกและเพื่อน ๆ
ทำไมผมถึงหนีออกมา
ทำไมผมถึงมีชีวิตรอด
รอดมาถึงทุกวันนี้
เอกกดนิ้วลงไปบนเครื่องพิมพ์ดีด ดูมันยังใช้การได้ เขาเอี้ยวตัวหยิบกระดาษสอดแล้วเริ่มพิมพ์ ในทีแรกความรู้สึกที่หลั่งไหลออกมาดูจะล้นเกินไปหน่อย เขาอาจจะคิดถึงป๊อกมากเกินไปจนเขียนมันเสียเมโลดรามา เอกฉีกมันทิ้งแล้วเริ่มเพิ่มจดหมายฉบับใหม่ พยายามรวบรวมสติเท่าที่พอจะมีเหลือ พิมพ์จดหมายนัดรวมเพื่อนเท่าที่ยังพอจะเหลืออยู่ เท่าที่ยังพอจะจำได้ เท่าที่พอจะยังไม่ลืม
ไม่ลืมว่าเรายังไม่ได้ส่งเพื่อนผู้จากลาไปถึงฝั่ง
ผมอยากไปส่งป๊อกเป็นครั้งสุดท้าย อาจจะซ่อมแซมความรู้สึกผิดในใจไปได้บ้าง
(2)
เอกไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นยี่สิบกว่าปี
ไม่ได้พบเจอคนหลายจนที่คล้ายจะลืมหน้ากันไป จำได้แต่ชื่อ หรือบางคนก็พอจะนึกหน้าออก แต่ถ้าให้นึกถึงชื่อก็เหมือนติดอยู่ที่ปาก เอกไม่ได้ออกไปในกระแสผู้คนเพียงแต่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ ยกยิ้มจนขำกับไอ้คนที่ตะโกนขึ้นมา กูเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นแล้วไงวะ
เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้หลายคนตกกระไดพลอยโจน วิ่งเข้าป่าไป บ้างก็จิตใจฝักใฝ่คอมมิวนิสต์จริง ๆ แต่กับบางคนก็ไม่ อยู่ในเมืองก็โดนจับตาย มองหาทางไหนไม่มีทางที่จะวางตัวเองลงไปได้ เลยจำต้องวิ่งเข้าป่าไปกับเขาด้วย แต่แล้วก็ต้องอกหักกลับมา
เอกไม่ได้เข้าป่าเพราะไปนอนคุก เพื่อนหลายคนที่เคยกินข้าวแดงด้วยกันก็ผ่านมาทักทาย สวมกอดกันบ้าง ตบบ่าถามสารทุกข์สุขดิบ จะว่าไม่ใส่ใจก็ไม่เชิง แต่เวลาพูดคุยเอกมักมองไปในตาของเพื่อน ๆ ในหลายแววตานั้นมีความรู้สึกปลดโปร่งอยู่ไม่น้อย
ยกเว้นเสียแต่ชายหญิงชราคู่หนึ่งที่จับมือเดินเข้ามาในคลองสายตาของเอก จับคนคู่นั้นได้แจ่มชัด ความรู้สึกผิด ปวดร้าวตีขึ้นหน้าขึ้นหัวไม่ปราณีปราศรัย พาลให้น้ำตากลับมาเอ่อคลอเบ้า ยิ่งเมื่อคนทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารูปจิตรกรรมจำนวนมากที่วางเรียงกันเป็นภาพใหญ่ ภาพหน้าลูกชายของพวกเขาซึ่งล่วงลับไปโดยไม่มีใครบอกกล่าว
ความสัมพันธ์ของเอกและป๊อกเป็นความลับจากพ่อและแม่ แต่การจากไปของป๊อกนั้นไม่ควรเป็นความลับกับครอบครัวของเขาเป็นยี่สิบกว่าปี เอกไม่กล้าแม้แต่จะไปเผชิญหน้าแล้วบอกกับท่านทั้งสอง ป๊อกเสียแล้วในสนามฟุตบอลนั้น หนังสือพิมพ์ออกข่าวหลังจากวันที่รัฐบาลให้ออกข่าวได้ แต่พ่อแม่ของป๊อกไม่เคยรับรู้
เอกรู้มาตลอดว่าพ่อแม่ของป๊อกยังคงตามหา สถานที่ต่าง ๆ ที่เคยไป ป่าที่คิดว่าป๊อกจะไปอยู่ แต่เขาเองที่หนี ไม่มีความกล้าแม้สักนิดที่จะเดินไปบอกท่าน คาดเดาเอาว่าอาจจะทำใจไว้แล้วบ้าง เขาไม่เคยตามหาและยิ่งเวลาผ่านไป ความกล้าหาญที่มียิ่งแปรผกผัน ผมจะกล้าเข้าไปบอกได้อย่างไรว่าลูกชายของเขาตายไปแล้วทั้งที่ผมยังมีชีวิตอยู่
แต่ในวันนี้ท่านคงรับรู้แล้ว
จากเพื่อนคนหนึ่งที่ตัดสินใจตามหาท่าน
และบอกความจริงที่ท่านเตรียมใจรอฟังมายี่สิบปี
การตามหาสิ้นสุดลง การรอคอยสิ้นสุดลงไปแล้ว
เอกหรือเปล่าลูก? พ่อแม่ของป๊อกเข้าทักทายเอกโดยไม่ทันตั้งตัว น้ำตาพรั่งพรูตอบสนองทันทีก่อนที่สติจะเค้นคำพูดอะไรออกไป รู้สึกถึงอ้อมกอดอุ่นที่โอบรอบกาย พ่อและแม่ของป๊อกก้มกอดเอกไว้ ทั้งที่ผมควรจะเป็นคนกอดเขาทั้งสอง
ขอโทษที่ไม่เคยเข้าไปพูดซักคำ
ขอโทษที่ไม่มีความกล้าหาญมากพอ
พ่อแม่ของป๊อกไม่ได้ถามอะไรนัก เพียงแต่ปลอบโยนในแบบที่คนเคยเป็นนักศึกษาในวันนี้จะได้รับ พอหายสะอื้น ขอโทษครับ เอกพูดเบาจนไม่แน่ใจว่าตั้งใจพูดกับสองคนตรงหน้าหรือพูดให้หูของตัวเองได้ยิน ไม่มีวันไหนเลยที่ผมลืมป๊อก เอกยังพูดเสียงเบา
เอกเดินไปส่งป๊อกครั้งสุดท้ายอย่างเรียบง่าย คล้ายกับเพื่อนคนอื่น มีมือมาแตะไหล่อยู่บ้างจากเพื่อนที่รู้จักและรู้เรื่อง เอกได้ก้มหน้าพลางพยักรับพลางกับคำปลอบใจในอวัจนะภาษาที่คนรอบตัวส่งมาให้ สายตามองทอดไปทั่ว เขาหวังว่าป๊อกจะยืนอยู่ที่ไหนซักแห่ง ตรงนั้น ตรงนั้นเอง
เหมือนภาวะกึ่งฝันกึ่งจริง ป๊อกยืนเว้นระยะออกไป แต่อยู่ยังตรงข้ามกัน แต่เอกกลับไม่ลืมตามอง เขาหลับตาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะลืมตามาเพื่อเห็นรูปปากที่คุ้นเคยกำลังขยับ
ขอบ – คุณ – นะ
“ขอบคุณเหมือนกัน ขอโทษนะ”
เอกพูดกับตัวเอง
เวลาเคลื่อนคล้อยไป แสงอาทิตย์หรี่ลงตามการโคจร สีแดงฉาดล้อมย้อมร่างของผมไว้ เงาตรงหน้ายังไม่หายไปไหน เพียงแต่ฮัมเพลงเคล้าคู่กัน
มอง…อาทิตย์กำลังจะลา
ขอบฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี
ความ มืดมิดมาแทนที่
วันนี้กำลังจะหมดไป
นั่นเป็นสัญญาณ
เราต้องจากกัน
อย่าลืมฉัน อย่าลืมสัมพันธ์
อย่าลืมฉัน เราต้องจากกัน
อย่าลืมฉัน
จะขอจำจนวันตาย
FIN


ความคิดเห็น